Enalapril
ประเภท ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของเอนไชมที่ทำลายแองจิโอเทนชิน (Angiotensin-convertingenzyme inhibitors, ACEl) และลดความดันโลหิตสูง
ข้อบ่งใช้ ควบคุมความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยที่มีภวะหัวใจวายเลือดคั่ง (Congestive heart falre) การออกฤทธิ์ ยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยน Angiotensin I เป็น Angiotensin ll เป็นการกดการทำงานของRenin-angiotensin aldosterone system มีผลให้ความดันโลหิตต่ำ นอกจากนี้ Angiosin converting enzyme (ACE) inhibitors ยังช่วยลดแรงต้านของหลอดเลือดส่วนปลาย ช่วยให้มีเลือดออกจากหัวใจใน 1 นาที (Cardiac output, CO) มากขึ้น ผลข้างเคียง พบน้อย เช่น ความดันโลหิตต่ำ มีผื่นขึ้นตามตัว ไอแห้งๆ การสร้างเม็ดเลือดผิดปกติ สูญเสียการได้ยิน รบกวนการทำงานของไต เป็นต้น การพยบาล1. วัดความดันโลหิต สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดภายใน 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่าความดันโลหิตจะคงที่ เนื่องจากก่อนเริ่มให้ยาแพทย์มักจะลดยาประเภทขับปัสสาวะก่อนล่วงหน้า 2-3 วัน เพื่อป้องกันความดันโลหิตต่ำ
2. แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาเวลาเดียวกันในแต่ละวันและห้ามแบ่งเม็ดยาหรือเคี้ยวยา
3. สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ไอแห้ง ๆ โดยไม่มีเสมหะในเวลากลางคืน เป็นตัน หากอาการไอรบกวนผู้ป่วยมาก ต้องรายงานแพทย์ทราบเพื่อพิจรณาหยุดยา
4. สังเกตการได้ยินของผู้ป่วยเนื่องจากยาอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน
5. หากมีอาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ำ ต้องสอนให้ผู้ป่วยรู้จักระวังตัว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ รายงานให้แพทย์ทราบ และดูแลอย่างใกล้ชิดจนกว่าความดันโลหิตจะคงที่
6. แนะนำผู้ป่วยให้ลดอาหารที่มีรสเค็ม ไขมันสูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้า
ลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากใกล้กับเวลารับประทาน ให้รับประทานยาครั้งต่อไปตามปกติ ไม่ต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า
Amiodalone
ประเภท ยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
ข้อบ่อใช้ รักษา Ventricular fibrillation ที่รักษาโดย Lidocaine และ DC shock ไม่ได้ผล และใช้รักษา Ventricular tachycardia ที่ดื้อต่อการใช้ยาตัวอื่นๆ
การออกฤทธิ์ เป็น Class Ill antiarrhythmic drugs ทำให้ปฏิกิริยาการบีบตัวของหัวใจและระยะพักที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจยาวนานออกไป ยับยั้งการกระตุ้น Adrenergic และ Sinus rate ช้าลง ช่วงระยะ PR และ QT ของคลื่นไฟฟ้าหัวใจยาวออกไป Amiodarone มีฤทธิ์เส้นเลือดโคโรนรีและลดแรงต้านของหลอดเลือดส่วนปลายลง แต่ไม่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
ผลข้างเคียง ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อเจียน ต่อมน้ำลายบวมและเจ็บ
การพยาบาล
1. วัดความดันโลหิตบ่อยๆ ทั้งในท่านอนและท่านั่ง ระวังอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนท่าเร็วๆเนื่องจากยานี้ทำให้ความดันโลหิตต่ำ
2. หากให้ทางหลอดเลือดดำควรฉีดยาช้าๆ ประมาณ 10 นาที
3. ยารับประทาน ควรให้พร้อมกับอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร
4. ระวังและสังเกตอาการพิษจากยา โดยเฉพาะผู้ป้วยโรคไต
5. ทำความสะอาดปากฟัน เพื่อบรรเทอาการเจ็บและการอักเสบของต่อมน้ำลาย
6. แนะนำผู้ป่วยว่าระหว่างใช้ยานี้ ไม่ควรออกไปกลางแสงแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากเกิดอาการแพ้ได้
7. แนะนำให้ผู้ป่วยตรวจตา คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการทำงานของต่อมไทรอยด์อย่างสม่ำเสมอระหว่างใช้ยา
warfarin
ประเภท ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) Coumarin derivative ยาละลายลิ่มเลือด
ข้อบ่งใช้ ป้องกันการเกิด Embol ในปอด ผู้ป่วยที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม ผู้ป่วย Rheumatic heart disease หรือ Emboli ที่เกิดใน Deep ขein thrombosis ยาจะออกฤทธิ์ไปยับยั้งการใช้วิตามินเค
ของตับในการสร้าง Factor |1, VII, IX และ X
การออกฤทธิ์ ขัดขวางวงจรการเปลี่ยนแปลงการสังเคราะห์วิตามินเค ซึ่งเป็น Coenzyme สำคัญในการสร้าง Clotting factor การแข็งตัวของเลือดจึงช้กว่าปกติ
ผลข้างเคียง มักเป็นสาเหตุของ Bleeding โดยเริ่มด้วยการเกิดอาการจำเลือดตามตัวขึ้นก่อน หลังจากนั้น อาจเกิดเลือดออกในอวัยวะต่างๆ เช่น มีเลือดออกในปัสสาวะ ทางเดินอาหาร สมอง เป็นต้น
การพยาบาล
1. ติดตามอาการผู้ป่วยบ่อยๆ ว่ามีเลือดกำเดาออก มีเลือดออกบริเวณเหงือก ปัสสาวะมีเลือดปน อุจจาระเป็นเลือด หรือมีเลือดสดๆ ออกมาจากกระเพาะอาหารหรือบาดแผล มีรอยช้ำเป็นห้อเลือด ความดันโลหิตต่ำ หรือชีพจรเต้นเร็ว
2. ติดตามผล PT, Bleeding time, INR (International normalized ratio) โดย PT
20 วินาที และ INR = 1.5-25 และเก็บยาให้พ้นแสงโดยใส่ซองสีชา
3. ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักใบเขียว ซึ่งมีวิตามิน K มาก ได้แก่ ผักกาดหอม กะหล่ำปลี
กะหล่ำดอก ผักขม หน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากวิตามิน K สามารถต้านฤทธิ์ยา ทำให้เกิดการ แข็งตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลอดเลือดอุดตันได้
Furosemide
ประเภท ยาขับปัสสาวะ
ข้อบ่งใช้ ลดบวมจากสาเหตุ ตับแข็ง หัวใจวาย และโรคไต รวมทั้ง Nephrotic syndrome ให้ทางหลอดเลือดดำในผู้ป้วย Acute pulmonary edema และใช้ลดความดันโลหิตสูงด้วย
การออกฤทธิ์ ยับยั้งการดูดกลับของโชเดียมและคลอไรด์ ที่ Ascending limb of Henle's loop เป็นส่วนใหญ่ โดยยับยั้งการดูดกลับของคลอไรด์ จึงมีผลยับยั้งการดูดกลับของโซเดียมด้วย ถ้าให้ยาในขนาดสูง สามารถยับยั้งการดูดกลับของโชเดียมบริเวณ Proximal และ Distaltbule ทำให้ร่างกายเสียโซเดียมและคลอไรด์ออกมากับปัสสาวะจำนวนมาก รวมทั้งเสียโปแตสเซียม แมกนีเชียม และแคลเซียม
ผลข้างเคียง ร่างกายขาดน้ำอย่างรวดเร็ว ปริมาณเลือดไหลเวียนลดต่ำผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า ทำให้มีอาการมึนงง สับสน มีอาการของการสูญเสียโชเดียม โปแตสเชียม และแคลเซียม เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นตะคริว เบื่ออาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำให้มี ยูเรียไนโตรเจน ครีอะตินิน กรดยูริก และน้ำตาลในเลือดสูง
การพยาบาล
1. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขับปัสสาวะ หลังอาหารเช้า หรือหากให้วันละ 2 ครั้งให้หลังอาหารเช้าและกลางวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยที่จะต้องลุกถ่ายปัสสาวะในเวลากลางคืน
2. ตวงน้ำดื่มและตวงปัสสาวะทุกวัน สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ หากปัสสาวะไม่ออกภายหลังได้รับยา 6 ชั่โมง ควรรายงานแพทย์ทราบ
3 ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน ควรชั่งก่อนรับประทานอาหารเช้าหรือหลังจากถ่ายปัสสาวะแล้ว ในกรณีที่คาสายสวนปัสสาวะไว้จะต้องไม่มีปัสสาวะค้างอยู่ในถุง
4. แนะนำผู้ป่วยให้รู้จักสังเกตน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมากผิดปกติ เช่น หากน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม/วัน หรือ 2-3 กิโลกรัม/สัปดาห์ เป็นต้น ควรรีบแจ้งให้แพทย์และพยาบาล
5. วัดรอบท้องหรือรอบขาทั้ง 2 ข้าง ที่ตำแหน่งเดียวกันทุกวัน รวมทั้งตรวจสอบอาการบวมกดปุ่มบริเวณหลังเทหรือหน้าแข้งด้วย เพื่อประเมินภาวะบวม
6. วัดความดันโลหิตทุกวัน เพื่อเป็นแนวทางในการสังเกตอาการวิงเวียนหน้ามืดขณะเปลี่ยนอิริยาบถ ควรวัดทั้งทำยืน นั่ง นอน และเปรียบเทียบความดันโลหิตของแขนทั้ง 2 ข้าง โดยเฉพาะในระหว่างที่มีการปรับขนาดยา
7. แนะนำผู้ปวยให้เปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดเป็นลม
8. สังเกตอการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ความตึงตัวของผิวหนังลดลง เวียนศีรษะ ปัสสาวะน้อย เป็นต้น แนะนำผู้ป้วยให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1,500 มิลลิลิตร หากไม่ขัดกับแผนการ
9. สังเกตอาการเจ็บปวดตามแขน ขา หรือส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างเฉียบพลันของภาวะขาดน้ำซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดได้ง่ย
10. สังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับยาขับปัสสาวะนั้นๆ
11. ติดตามผลอิเล็กโตรไลท์ ยูเรียไนโตรเจน ระดับน้ำตาล กรดยูริกในเลือด และผลการตรวจ นับเม็ดเลือดเป็นระยะๆ
12. ชี้แจงให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญในกรณีที่ต้องรับประทานโปแตสเชียมทดแทน เพราะยานี้รส ชาติไม่ดี หากผู้ป้วยรับประทานไม่ได้อาจผสมน้ำผลไม้เพื่อช่วยให้รสชาติของยาเฝื่อนน้อยลง และให้รับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดการระคายเคือง
13. ยาขับปัสสาวะที่ทำให้เสียโปแตสเชียม ต้องแนะนำผู้ป่วยให้รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีโปแตสเซียมสูง เช่น ส้ม กลัวย แตงโม องุ่น มะเขือเทศ กะหล่ำปลี เป็นตัน และสังเกตอาการของโปรแตสเซียมในเลือดต่ำ เช่น เป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องอึด ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น ดังนั้นก่อนให้ยาทุกครั้ง หากพบอาการดังกล่าวต้องรีบรายงานแพทย์ทราบ
14. ระมัดระวังอาการพิษจากยาดิจิตาลิส ในผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ เพราะอาจเกิดอาการพิษจากยาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ง่ายขึ้น
15. ในกรณีที่ผู้ป่วยลืมรับประทานยา ควรแนะนำให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ ยกเว้นใกลัจะถึงเวลาของยามื้อต่อไป ให้งดยาที่ลืมนั้นเสียและห้ามเพิ่มขนาดยาทดแทนเป็น 2 เท่า
16. หากเป็นยาฉีด หลังฉีดยา วัดความดันโลหิตทุก 15-30 นาที จนกว่าจะคงที่
17. สังเกตอการเนื่องจากภาวะขาดน้ำและขาดสมดุลของแร่ธาตุต่างๆ เช่น ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน แรงดันในสมองสูง ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีปัสสาวะภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) ชัก คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) มีลักษณะ Prolonged QT interval
18. เก็บยาให้พ้นแสง ใส่ซอง (ขวด) สีชา
Senokot
ประเภท ยาถ่ายในกลุ่มที่กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ
ข้อบ่งใช้ รักษาผู้ป้วยที่มีภาวะท้องผูก
การออกฤทธิ์ ยาจะออกฤทธิ์หลังรับประทานยภายใน 12 ชั่วโมง โดยแบคทีเรียในลำไส้จะช่วยย่อย
Glycosides ของมะขามแขก ให้กลายเป็นกลูโคสและ Emodins ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาทที่ลำไส้ใหญ่ ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้เพิ่มขึ้น และมีฤทธิ์ทำให้น้ำและเกลือแร่ในลำไส้เพิ่มมากขึ้นด้วย
ผลข้างเคียง ปวดท้อง ท้องอึด คลื่นไส้ หากใช้นานๆ อาจทำให้เกิดท้องเสีย สูญเสียน้ำและเกลือแร่ น้ำหนักลด
การพยาบาล
1. ห้ามใช้ยาระบายในผู้ที่ท้องผูกและมีอาคารปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ที่มีอุจจาระอัดเป็นก้อนแข็งอุดสำไส้ และผู้ที่ท้องผูกเนื่องจากพยาธิสภาพของทางเดินอาหาร ควรหาสาเหตุเพื่อแก้ไขจะได้ผล
และปลอดภัยกว่า
2. การใช้ยาระบายเป็นประจำจะทำให้ลำไส้เกิดความเคยซิน เป็นผลให้เกิดการติดยา อาจเลือกใช้เป็นยาที่ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ
3. ไม่ควรใช้ยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก เพราะจะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกาย เช่น ขาดสารอาหาร ท้องเดิน ปวดท้อง เป็นต้น
4. หากเป็นยาระบายให้รับประทานก่อนนอนเพื่อให้ฤทธิ์ออกในเวลาเช้า คือ ประมาณ 6 ชั่วโมงหลังให้ยา แต่ถ้าเป็นยาสวนยาจะออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที
5. ไม่ใช้ยาระบายที่มีแมกนีเซียมป็นส่วนประกอบในผู้ป่วยโรคไต หัวใจ และกล้ามเนื้อ
6. ไม่ควรใช้ยาที่มีการกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี และหญิงมีครรค์
7. ยา Lactulose และ Lactio มีส่วนผสของน้ำตาล จึงควรระวังในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
8. ห้ามเคี้ยวยา Bisacody หรือรับประทานพร้อมยาลดกรด เพราะยานี้อยู่ในรูปยาเม็ดเคลือบเพื่อต้องการให้ออกฤทธิ์ที่ลำไส้
9. ยาลดกรดชนิดที่ไม่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหาร อาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยา Lactulose
และ Lactitol
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น