วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ยาcase2

 Enalapril

ประเภท ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของเอนไชมที่ทำลายแองจิโอเทนชิน (Angiotensin-convertingenzyme inhibitors, ACEl) และลดความดันโลหิตสูง

ข้อบ่งใช้ ควบคุมความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยที่มีภวะหัวใจวายเลือดคั่ง (Congestive heart falre) การออกฤทธิ์ ยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยน Angiotensin I เป็น Angiotensin ll เป็นการกดการทำงานของRenin-angiotensin aldosterone system มีผลให้ความดันโลหิตต่ำ นอกจากนี้ Angiosin converting enzyme (ACE) inhibitors ยังช่วยลดแรงต้านของหลอดเลือดส่วนปลาย ช่วยให้มีเลือดออกจากหัวใจใน 1 นาที (Cardiac output, CO) มากขึ้น ผลข้างเคียง พบน้อย เช่น ความดันโลหิตต่ำ มีผื่นขึ้นตามตัว ไอแห้งๆ การสร้างเม็ดเลือดผิดปกติ สูญเสียการได้ยิน รบกวนการทำงานของไต เป็นต้น การพยบาล
1. วัดความดันโลหิต สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดภายใน 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่าความดันโลหิตจะคงที่ เนื่องจากก่อนเริ่มให้ยาแพทย์มักจะลดยาประเภทขับปัสสาวะก่อนล่วงหน้า 2-3 วัน เพื่อป้องกันความดันโลหิตต่ำ 2. แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาเวลาเดียวกันในแต่ละวันและห้ามแบ่งเม็ดยาหรือเคี้ยวยา 3. สังเกตอาการข้างเคียงของยา เช่น ไอแห้ง ๆ โดยไม่มีเสมหะในเวลากลางคืน เป็นตัน หากอาการไอรบกวนผู้ป่วยมาก ต้องรายงานแพทย์ทราบเพื่อพิจรณาหยุดยา
4. สังเกตการได้ยินของผู้ป่วยเนื่องจากยาอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน 5. หากมีอาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ำ ต้องสอนให้ผู้ป่วยรู้จักระวังตัว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ รายงานให้แพทย์ทราบ และดูแลอย่างใกล้ชิดจนกว่าความดันโลหิตจะคงที่ 6. แนะนำผู้ป่วยให้ลดอาหารที่มีรสเค็ม ไขมันสูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้า ลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากใกล้กับเวลารับประทาน ให้รับประทานยาครั้งต่อไปตามปกติ ไม่ต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า

Amiodalone
ประเภท ยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ข้อบ่อใช้ รักษา Ventricular fibrillation ที่รักษาโดย Lidocaine และ DC shock ไม่ได้ผล และใช้รักษา Ventricular tachycardia ที่ดื้อต่อการใช้ยาตัวอื่นๆ การออกฤทธิ์ เป็น Class Ill antiarrhythmic drugs ทำให้ปฏิกิริยาการบีบตัวของหัวใจและระยะพักที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจยาวนานออกไป ยับยั้งการกระตุ้น Adrenergic และ Sinus rate ช้าลง ช่วงระยะ PR และ QT ของคลื่นไฟฟ้าหัวใจยาวออกไป Amiodarone มีฤทธิ์เส้นเลือดโคโรนรีและลดแรงต้านของหลอดเลือดส่วนปลายลง แต่ไม่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ผลข้างเคียง ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อเจียน ต่อมน้ำลายบวมและเจ็บ
การพยาบาล 1. วัดความดันโลหิตบ่อยๆ ทั้งในท่านอนและท่านั่ง ระวังอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนท่าเร็วๆเนื่องจากยานี้ทำให้ความดันโลหิตต่ำ 2. หากให้ทางหลอดเลือดดำควรฉีดยาช้าๆ ประมาณ 10 นาที 3. ยารับประทาน ควรให้พร้อมกับอาหารหรือหลังอาหารทันที เพื่อลดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร 4. ระวังและสังเกตอาการพิษจากยา โดยเฉพาะผู้ป้วยโรคไต 5. ทำความสะอาดปากฟัน เพื่อบรรเทอาการเจ็บและการอักเสบของต่อมน้ำลาย 6. แนะนำผู้ป่วยว่าระหว่างใช้ยานี้ ไม่ควรออกไปกลางแสงแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากเกิดอาการแพ้ได้ 7. แนะนำให้ผู้ป่วยตรวจตา คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการทำงานของต่อมไทรอยด์อย่างสม่ำเสมอระหว่างใช้ยา

warfarin
ประเภท ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) Coumarin derivative ยาละลายลิ่มเลือด ข้อบ่งใช้ ป้องกันการเกิด Embol ในปอด ผู้ป่วยที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม ผู้ป่วย Rheumatic heart disease หรือ Emboli ที่เกิดใน Deep ขein thrombosis ยาจะออกฤทธิ์ไปยับยั้งการใช้วิตามินเค ของตับในการสร้าง Factor |1, VII, IX และ X การออกฤทธิ์ ขัดขวางวงจรการเปลี่ยนแปลงการสังเคราะห์วิตามินเค ซึ่งเป็น Coenzyme สำคัญในการสร้าง Clotting factor การแข็งตัวของเลือดจึงช้กว่าปกติ
ผลข้างเคียง มักเป็นสาเหตุของ Bleeding โดยเริ่มด้วยการเกิดอาการจำเลือดตามตัวขึ้นก่อน หลังจากนั้น อาจเกิดเลือดออกในอวัยวะต่างๆ เช่น มีเลือดออกในปัสสาวะ ทางเดินอาหาร สมอง เป็นต้น การพยาบาล
1. ติดตามอาการผู้ป่วยบ่อยๆ ว่ามีเลือดกำเดาออก มีเลือดออกบริเวณเหงือก ปัสสาวะมีเลือดปน อุจจาระเป็นเลือด หรือมีเลือดสดๆ ออกมาจากกระเพาะอาหารหรือบาดแผล มีรอยช้ำเป็นห้อเลือด ความดันโลหิตต่ำ หรือชีพจรเต้นเร็ว 2. ติดตามผล PT, Bleeding time, INR (International normalized ratio) โดย PT 20 วินาที และ INR = 1.5-25 และเก็บยาให้พ้นแสงโดยใส่ซองสีชา 3. ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักใบเขียว ซึ่งมีวิตามิน K มาก ได้แก่ ผักกาดหอม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักขม หน่อไม้ฝรั่ง เนื่องจากวิตามิน K สามารถต้านฤทธิ์ยา ทำให้เกิดการ แข็งตัวของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลอดเลือดอุดตันได้


Furosemide
ประเภท ยาขับปัสสาวะ ข้อบ่งใช้ ลดบวมจากสาเหตุ ตับแข็ง หัวใจวาย และโรคไต รวมทั้ง Nephrotic syndrome ให้ทางหลอดเลือดดำในผู้ป้วย Acute pulmonary edema และใช้ลดความดันโลหิตสูงด้วย การออกฤทธิ์ ยับยั้งการดูดกลับของโชเดียมและคลอไรด์ ที่ Ascending limb of Henle's loop เป็นส่วนใหญ่ โดยยับยั้งการดูดกลับของคลอไรด์ จึงมีผลยับยั้งการดูดกลับของโซเดียมด้วย ถ้าให้ยาในขนาดสูง สามารถยับยั้งการดูดกลับของโชเดียมบริเวณ Proximal และ Distaltbule ทำให้ร่างกายเสียโซเดียมและคลอไรด์ออกมากับปัสสาวะจำนวนมาก รวมทั้งเสียโปแตสเซียม แมกนีเชียม และแคลเซียม ผลข้างเคียง ร่างกายขาดน้ำอย่างรวดเร็ว ปริมาณเลือดไหลเวียนลดต่ำผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า ทำให้มีอาการมึนงง สับสน มีอาการของการสูญเสียโชเดียม โปแตสเชียม และแคลเซียม เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นตะคริว เบื่ออาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำให้มี ยูเรียไนโตรเจน ครีอะตินิน กรดยูริก และน้ำตาลในเลือดสูง
การพยาบาล 1. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาขับปัสสาวะ หลังอาหารเช้า หรือหากให้วันละ 2 ครั้งให้หลังอาหารเช้าและกลางวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยที่จะต้องลุกถ่ายปัสสาวะในเวลากลางคืน 2. ตวงน้ำดื่มและตวงปัสสาวะทุกวัน สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ หากปัสสาวะไม่ออกภายหลังได้รับยา 6 ชั่โมง ควรรายงานแพทย์ทราบ
3 ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน ควรชั่งก่อนรับประทานอาหารเช้าหรือหลังจากถ่ายปัสสาวะแล้ว ในกรณีที่คาสายสวนปัสสาวะไว้จะต้องไม่มีปัสสาวะค้างอยู่ในถุง 4. แนะนำผู้ป่วยให้รู้จักสังเกตน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมากผิดปกติ เช่น หากน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม/วัน หรือ 2-3 กิโลกรัม/สัปดาห์ เป็นต้น ควรรีบแจ้งให้แพทย์และพยาบาล 5. วัดรอบท้องหรือรอบขาทั้ง 2 ข้าง ที่ตำแหน่งเดียวกันทุกวัน รวมทั้งตรวจสอบอาการบวมกดปุ่มบริเวณหลังเทหรือหน้าแข้งด้วย เพื่อประเมินภาวะบวม 6. วัดความดันโลหิตทุกวัน เพื่อเป็นแนวทางในการสังเกตอาการวิงเวียนหน้ามืดขณะเปลี่ยนอิริยาบถ ควรวัดทั้งทำยืน นั่ง นอน และเปรียบเทียบความดันโลหิตของแขนทั้ง 2 ข้าง โดยเฉพาะในระหว่างที่มีการปรับขนาดยา 7. แนะนำผู้ปวยให้เปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดเป็นลม 8. สังเกตอการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง กระหายน้ำ ความตึงตัวของผิวหนังลดลง เวียนศีรษะ ปัสสาวะน้อย เป็นต้น แนะนำผู้ป้วยให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1,500 มิลลิลิตร หากไม่ขัดกับแผนการ
9. สังเกตอาการเจ็บปวดตามแขน ขา หรือส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างเฉียบพลันของภาวะขาดน้ำซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดได้ง่ย 10. สังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับยาขับปัสสาวะนั้นๆ 11. ติดตามผลอิเล็กโตรไลท์ ยูเรียไนโตรเจน ระดับน้ำตาล กรดยูริกในเลือด และผลการตรวจ นับเม็ดเลือดเป็นระยะๆ 12. ชี้แจงให้ผู้ป่วยเห็นความสำคัญในกรณีที่ต้องรับประทานโปแตสเชียมทดแทน เพราะยานี้รส ชาติไม่ดี หากผู้ป้วยรับประทานไม่ได้อาจผสมน้ำผลไม้เพื่อช่วยให้รสชาติของยาเฝื่อนน้อยลง และให้รับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดการระคายเคือง 13. ยาขับปัสสาวะที่ทำให้เสียโปแตสเชียม ต้องแนะนำผู้ป่วยให้รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีโปแตสเซียมสูง เช่น ส้ม กลัวย แตงโม องุ่น มะเขือเทศ กะหล่ำปลี เป็นตัน และสังเกตอาการของโปรแตสเซียมในเลือดต่ำ เช่น เป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องอึด ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น ดังนั้นก่อนให้ยาทุกครั้ง หากพบอาการดังกล่าวต้องรีบรายงานแพทย์ทราบ 14. ระมัดระวังอาการพิษจากยาดิจิตาลิส ในผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ เพราะอาจเกิดอาการพิษจากยาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ง่ายขึ้น 15. ในกรณีที่ผู้ป่วยลืมรับประทานยา ควรแนะนำให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ ยกเว้นใกลัจะถึงเวลาของยามื้อต่อไป ให้งดยาที่ลืมนั้นเสียและห้ามเพิ่มขนาดยาทดแทนเป็น 2 เท่า 16. หากเป็นยาฉีด หลังฉีดยา วัดความดันโลหิตทุก 15-30 นาที จนกว่าจะคงที่ 17. สังเกตอการเนื่องจากภาวะขาดน้ำและขาดสมดุลของแร่ธาตุต่างๆ เช่น ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน แรงดันในสมองสูง ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีปัสสาวะภาวะโปแตสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia) มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) ชัก คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) มีลักษณะ Prolonged QT interval 18. เก็บยาให้พ้นแสง ใส่ซอง (ขวด) สีชา



Senokot
ประเภท ยาถ่ายในกลุ่มที่กระตุ้นการถ่ายอุจจาระ ข้อบ่งใช้ รักษาผู้ป้วยที่มีภาวะท้องผูก การออกฤทธิ์ ยาจะออกฤทธิ์หลังรับประทานยภายใน 12 ชั่วโมง โดยแบคทีเรียในลำไส้จะช่วยย่อย Glycosides ของมะขามแขก ให้กลายเป็นกลูโคสและ Emodins ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาทที่ลำไส้ใหญ่ ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้เพิ่มขึ้น และมีฤทธิ์ทำให้น้ำและเกลือแร่ในลำไส้เพิ่มมากขึ้นด้วย
ผลข้างเคียง ปวดท้อง ท้องอึด คลื่นไส้ หากใช้นานๆ อาจทำให้เกิดท้องเสีย สูญเสียน้ำและเกลือแร่ น้ำหนักลด
การพยาบาล
1. ห้ามใช้ยาระบายในผู้ที่ท้องผูกและมีอาคารปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ที่มีอุจจาระอัดเป็นก้อนแข็งอุดสำไส้ และผู้ที่ท้องผูกเนื่องจากพยาธิสภาพของทางเดินอาหาร ควรหาสาเหตุเพื่อแก้ไขจะได้ผล และปลอดภัยกว่า
2. การใช้ยาระบายเป็นประจำจะทำให้ลำไส้เกิดความเคยซิน เป็นผลให้เกิดการติดยา อาจเลือกใช้เป็นยาที่ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ 3. ไม่ควรใช้ยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก เพราะจะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกาย เช่น ขาดสารอาหาร ท้องเดิน ปวดท้อง เป็นต้น 4. หากเป็นยาระบายให้รับประทานก่อนนอนเพื่อให้ฤทธิ์ออกในเวลาเช้า คือ ประมาณ 6 ชั่วโมงหลังให้ยา แต่ถ้าเป็นยาสวนยาจะออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที 5. ไม่ใช้ยาระบายที่มีแมกนีเซียมป็นส่วนประกอบในผู้ป่วยโรคไต หัวใจ และกล้ามเนื้อ 6. ไม่ควรใช้ยาที่มีการกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี และหญิงมีครรค์ 7. ยา Lactulose และ Lactio มีส่วนผสของน้ำตาล จึงควรระวังในผู้ป่วยโรคเบาหวาน 8. ห้ามเคี้ยวยา Bisacody หรือรับประทานพร้อมยาลดกรด เพราะยานี้อยู่ในรูปยาเม็ดเคลือบเพื่อต้องการให้ออกฤทธิ์ที่ลำไส้ 9. ยาลดกรดชนิดที่ไม่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหาร อาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยา Lactulose และ Lactitol


ยาcase 3

Tramadol

ประเภท ยาระงับปวด (Analgesic) รูปแบบ ยาเม็ด ขนาด 50 mg ขนาดและวิธีใช้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด (50 mg) 2 เวลาหลังอาหาร เช้า-เย็น ข้อบ่งใช้ ยาบรรเทาอาการปวดออกฤทธิ์ที่ประสาทส่วนกลาง ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก การออกฤทธิ์ เป็นยาในกลุ่มโอพิออยด์ (opioids) ออกฤทธิ์เหมือนมอร์ฟีน ใช้ระงับอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงเช่นเดียวกับมอร์ฟีน (morphine) โดยออกฤทธิ์กระตุ้นที่มิว รีเซปเตอร์ แต่เนื่องจากยาชนิดนี้ระงับอาการปวดได้น้อยกว่ามอร์ฟีน 5-20 เท่า จึงทำให้ยาชนิดนี้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ นอกจากนี้ tramadol ยังออกฤทธิ์ระงับปวดปลายประสาท โดยออกฤทธิ์ยับยั้งตัวเก็บกลับสารสื่อประสาท (transporter) ชนิดซีโรโธนิน(serotonin) และ นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) ที่บริเวณปลายประสาท ทำให้บริเวณปลายประสาทมีปริมาณสารสื่อประสาททั้งสองชนิดเพิ่มขึ้น จึงสามารถลดอาการปวดได้ ผลข้างเคียง พบได้ตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มือสั่น ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ มึนงง ง่วงซึม ประสาทหลอน จนถึงรุนแรงระดับนำไปสู่การเสียชีวิต เช่น ชักกดศูนย์การหายใจของร่ายกาย หรือซีโรโธนินซินโดรม (serotonin syndrome) ซึ่งจะมีอาการแสดงในหลายๆ ระบบของร่างกายพร้อมกัน เช่น กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกร่วมกับความดันโลหิตสูงและประสาทหลอน ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้ โดยไม่รักษาจะนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด การพยาบาล การพยาบาลและให้แนะนำ 1. ดูแลให้ยาตามคำสั่งจากแพทย์ เพราะยาชนิดนี้ถือเป็นยาอันตราย 2. ไม่ควรซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง 3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาทหรือสารเสพติดก่อนใช้ยาชั่วระยะหนึ่ง และห้ามรับประทานยาทรามาดอลพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 4. ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคลมชัก หรือมีประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือเคยมีอาการชักห้ามใช้ยาโดยเด็ดขาด 5. หากมีอาการแพ้ยาควรหยุดยา 6. ดูแลการการหยุดยา การหยุดยาทันทีอาจจะทำให้เกิดอาการขาดยา ได้แก่ อาการวิตกกังวล เหงื่อออก สั่น นอนไม่หลับ ปวดตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ในรายที่รุนแรงอาจจะมีอาการหูแว่วหรือเห็นภาพหลอน ดังนั้นจะต้องลดขนาดยาไม่หยุดยาทันที 7. แนะนำอาการของยาเกินขนาด อาการแสดงของการได้รับยาเกินขนาดได้แก่ หายใจช้า ง่วงซึมหากรุรแรงจะหมดสติถึงขั้นโคม่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง มือเย็นและเหงื่อออก ม่านตาเล็ก อาจจะมีอาการชัก หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ หัวใจอาจจะหยุดเต้น


Paracetamol หรือ Acetaminophen (อะเซตามิโนเฟน)
        ประเภท  ยาแก้ปวด ลดไข้ เป็นยาชนิดไม่เสพติดที่นิยมใช่อย่างแพร่หลาย เพราะมีฤทธิ์ข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารน้อยกว่ายาในกลุ่ม NSAIDs และ Aspirin  ให้ผลระงับปวดได้ดี
        รูปแบบ 
          1. ยาเม็ด ขนาด 325/500 mg  
          2. ยาน้ำเชื่อม 120mg/2ml  3. ยาฉีด 300mg/2ml
        ขนาดและวิธีใช้  
          1. ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด (500 mg) ทุก 4-6 ชั่วโมง สูงสุดไม่เกิน 4 gm/วัน  
          2. เด็ก รับประทานครั้งละ 10-15 mg/kg  4-6 ชั่วโมง
        ข้อบ่งใช้ 
          1. ใช้ระงับอาการปวดที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดศีรษะ ปวดหู ปวดฟัน ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน และใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ Aspirin หรือใช้Aspirin ไม่ได้ เช่น ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาการอักเสบ ผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด และผู้ที่ปัญหาเลือดออกนานผิดปกติ  
          2. ลดไข้จากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส หรือมีภาวะอักเสบ(inflammation)  
       3.บรรเทาอาการปวดให้ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม โรคเกาต์
    การออกฤทธิ์ เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างพสอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ในระบบประสาทส่วนกลางได้ดี ซึ่งสารพสอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) เป็นตัวทำให้เกิดความเจ็บปวด และทำให้เกิดไข้ ทำให้มีฤทธิ์ลดอาการปวดและลดไข้ แต่มีฤทธิ์อ่อนมากในการต้านการอักเสบ ทำให้ไม่เกิดแผลในทางเดินอาหารและไม่มีผลต่อการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ยาจะออกฤทธิ์สูงสุดในเวลา 30-60 นาทีหลังได้รับยา ยาจะมีพิษต่อตับและไตหากได้รับเกินขนาดจึงไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน 10 วันในผู้ใหญ่ หรือ 5 วันในเด็ก ควรใช้ยาอย่างระมัดระวังใรผู้ป่วยโรคตับและไต
        ผลข้างเคียง อาการพิษเริ่นต้น ภายใน 24 ชั่วโมง โดยอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ท้องเดิน ยานี้ในขนาดและวิธีใช้รักษาจะไม่มีอาการข้างเคียงหรืออาการแพ้รุนแรง  ผู้ที่แพ้ยาอาจจะมีอาการผื่นขึ้นตามผิวหนัง อาการลมพิษและคัน อาจเกิดอาการในระบบเลือดซึ่งพบได้น้อย เช่น ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและเกร็ดเลือดต่ำ หากใช้ยาเกินขนาดอาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตเนื่องจากตับถูกทำลาย มีผลทำลายไตและให้ให้เกิดอาการโคม่าเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ อาการพิษต่อตับจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาเกิดขนาดในครั้งเดียว 10-15 gm แต่ถ้าหากได้รับ 20-25 gm หรือมากกว่าอาจทำให้เสียชีวิต
        การพยาบาล  การพยาบาลและให้แนะนำ
          1. ควรดื่มน้ำ เครื่องดื่ม หรือรับประทานอาหารเหลวบ่อยๆ เพื่อช่วยลดความร้อน ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดหลังรับประทานยา
          2. ไม่ควรซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง
          3. ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับและผู้ที่ติดแอลกฮอล์ แอลกอฮอร์จะเสริมฤทธิ์ในการทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ ในรายที่ได้รับยาเกินขนาด
          4. หากผู้ป่วยได้รับยาเกินขนาด ควรได้รับการรักษาโดยการรักษาล้างท้อง และได้รับยา N-acetylcysteine ซึ่งได้ผลดีภายใน 10 ชั่วโมงหลังได้รับยาเกินขนาด
          5. หากมีอาการแพ้ยาควรหยุดยาทันที
          6. ยาน้ำเชื่อม ไม่ต้องแช่ตู้เย็น ถ้าแช่จะตกตะกอน     



Concor

ประเภท ยาลดความดันโลหิต และเป็น B-adrenergic receptor blocking agents ข้อบ่งใช้ ควบคุมความดันโลหิตสูง ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Premature ventricular contraction) โรคหลอดลอักเสบเรื้อรัง โรคถุงลมโป้งพอง และโรคอื่นๆ ที่มีอาการหลอดลมหดเกร็งร่วมด้วย การออกฤทธิ์ ปิดกั้นการกระตุ้นเบต้า ตัวรับ Adrenegic ที่หัวใจถูกปิดกั้นมีผลทำให้อัตราการเต้นและ แรงบีบตัวของหัวใจลดลง ความดันโลหิตลดลง ยับยั้งการสร้างเรนินที่ไตทำให้ความดันโลหิตลดลง
ผลข้างเคียง หัวใจเต้นช้า เต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ มึนงงหรือเป็นลม มือเท้าเย็น นอนไม่หลับ อ่อน เพลีย เหนื่อยงย สับสน ซึมเศร้า ฝันร้าย อาจหมดสมรรถภาพทางเพศ ปัสสาวะบ่อยสีเข้ม หายใจลำบาก ฟังปอดมีเสียงหวีด
การพยาบาล 1. วัดความดันโลหิต จับชีพจรก่อนให้ยาทุกครั้ง ชั่งน้ำหนักทุกวัน ดูสมดุลของน้ำดื่มและปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะน้ำเกิน เช่น บวม น้ำหนักขึ้น ฟังปอดได้ยินเสียง crepitation เส้นเลือดดำที่คอโปงพองเป็นต้น ถ้าพบสิ่งผิดปกติเหล่านี้ต้องรีบรายงา 2 ติดตามผลการตรวจเลือด โดยดูระดับ BUN, Uric acid, Lipoprotein, Triglyceride, Serum electrolyte, Blood glucose, CBC, WBC, Platelets เพื่อดูหน้าที่ของไตและตับ 3 แนะนำให้ผู้วยเปลี่ยนท่าช้าๆ เวลาลุกขึ้นนั่งหรือยืน หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ดื่มสุรา และอากาศร้อน หากมีอาการมึนงงให้ระวังอุบัติเหตุจากการขับรถหรือจากเครื่องจักร

50% MgSo4
ประเภท ยาระงับชัก ข้อบ่งใช้ รักษาอาการชักที่เกิดจาก Toxemia of pregnancy, Epilepsy หรือเมื่อมีระดับ Magnesum ต่ำซึ่งมีส่วนทำให้เกิดอาการชัก เช่น ภาวะ Hypothyroidism, Glomerulonephritis ในผู้ป่วย Eclampsia ในผู้ป่วยเด็กที่มี Acute nephritis เพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง Encephalopathy และอการชัก ใช้ทดแทนการขาด Magnesium ให้ร่วมกับ TPN และใช้เป็นยาระบาย การออกฤทธิ์ หากให้ทางหลอดเลือดดำ ยาจะออกฤทธิ์กด CNS และกดกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อลาย และกล้ามเนื้อหัวใจ ระงับการชัก (โดยกดประสาท CNS และลดการหลั่ง Acetylcholine ทำให้กั้นการทำงนของระบบประสาทและกล้มเนื้อส่วนปลาย)
ผลข้างเคียง อาจเกิดภาวะแมกนีเซียมเกินในเลือด ได้แก่ หน้าแดง เหงื่อออก กระหายน้ำ ความดันโลหิต ต่ำ ง่วงหลับ สับสน กล้มเนื้ออ่อนแรง อัมพาต อุณหภูมิต่ำ กดการทำงานของหัวใจ และมีภาวะแคลเซียมในเลือดตำ การพยาบาล
1. ตรวจสอบความดันโลหิตและชีพจรทุก 15 นาทีและตรวจหาระดับแมกนีเซียมในชีรัมเป็นระยะๆ 2. สังเกตอาการพิษจากแมกนีเชียมเกิน เช่น อาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง รู้สึกร้อน มึนงง สับสน Deep tendon reflexes ถูกกด กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตัน ตรวจระดับ แคลเชียมและฟอสฟอรัส บันทึกความสมดุลของน้ำดื่มและปัสสาวะ

NPH
ประเภท เป็นยาลดน้ำตาลในเลือด ชนิดฉีดออกฤทธิ์นานปานกลาง น้ำยามีลักษณะขุ่น เนื่องจากเติม โปรตามีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งลงไป เพื่อให้การออกฤทธิ์เร็วและมีฤทธิ์อยู่นาน ข้อบ่งใช้ ในกรณีที่แพ้อินสุลินชนิดอื่นๆ หรือผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะเป็น Thrombotic phenomena ไม่ควรใช้แทน Regular insuln และภาวะฉุกเฉิน การออกฤทธิ์ อินสุลินออกฤทธิ์ โดยจับกับอินสุลินรีเซพตร์ที่เยื่อหุ้มเชลล์ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเร่งกลูโคสเข้าเซลล์กล้ามเนื้อและไขมันดีขึ้น ให้ผลในทางเสริมสร้าง คือ จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไกลโคเจน โปรตีน ไขมัน และกรดนิวคลิอิกต่างๆ โดยช่วยในการทำงานของ เอนไซม์ Glycogen synthetase ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสเป็นไกลโคเจน
ผลข้างเคียง 1. เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 2. เกิดรอยบุ๋มหรือรอยตรงบริเวณที่ฉีดยา เนื่องจากการลีบ หรือการเจริญเติบโตผิดปกติ (Hypetrophy) ของเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้การดูดซึมของอินสุลินลดน้อยลง ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 2.1 การเกิดรอบุ๋ม เชื่อว่าเป็นผลจากสารโปรอินสุลินและโปรตีนที่ปนเปื้อนมากับอินสุลิน ทำให้เกิดแอนติบอดีย์ต่ออินสุลิน 2.2 การเกิดรอยนูน เชื่อว่าเป็นผลจากฤทธิ์กระตุ้นการสร้างไขมันของอินสุลิน 3. การแพ้อินสุลิน มักเกิดจากอินสุลินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ มักปฏิกิริยาตรงผิวหนังบริเวณที่ฉีดซึ่งเป็นผลจาก IgE ทำให้เกิดอาการคันและบวมแดง
4. การดื้อต่ออินสุลิน อาจเกิดจากร่างกายสร้าง IgE มาต้นฤทธ์อินสุลิน 5. ตาพร่ำมัว เกิดจkกอินสุลิน ทำให้แรงดันออสโมติก ระหว่างเลนส์กับน้ำในลูกตาเปลี่ยนแปลง ทำให้เลนส์บวม ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับคนสายตาสั้น
การพยาบาล 1. การฉีดอินสุลิน 2 ชนิดร่วมกัน ควรดูดอินสุลินชนิดใส (RI) ก่อน แล้วจึงดูดอินสุลินชนิด ขุ่น (NPH) เพื่อป้องกันมิให้ขวดน้ำยาชนิดใสถูกผสมด้วยน้ำยาชนิดซุ่นจากความผิดพลาด ขณะดูดน้ำย ซึ่งหากนำน้ำยาขวดนี้ไปฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำจะเกิดอันตรายได้ 2. ควรเปลี่ยนตำแหน่งที่ฉีดยา เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีและป้องกันผิวหนังบุ๋มหรือนูน โดยเลือกบริเวณที่ฉีด คือ ฉีดได้ง่าย เช่น บริเวณหน้าท้อง หน้าขา หลัง แขน เป็นต้น บริเวณที่อินสุลินดูดซึมได้ดี คือ ระหว่างชั้น ไขมันกับกล้ามเนื้อ ไม่ควรฉีดอินสุลินบริเวณกล้ามเนื้อที่ใช้ออกกำลังกาย เพราะจะทำให้การดูดซึมอินสุลินจากบริเวณที่ฉีดเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ 4. การเก็บอินสุลิน ต้องเก็บในตู้เย็น อุณหภูมิ 2-5C หากต้องเดินทางอาจเก็บไว้ในภาชนะที่อุณหภูมิไม่เกิน 30c ได้ และควรใช้ภายในเวลาไม่เกิน 1 เดือน 5. สอนให้ผู้ป่วยฉีดอินสุลินได้ด้วยตนเอง



RI
ประเภท ยาลดน้ำตาลในเลือด (Hypoglycemic drugs) ชนิดฉีดออกฤทธิ์สั้นเห็นผลเร็ว น้ำยามีลักษณะใส ข้อบ่งใช้ รักษา Diabetic coma. Diabetic acidosis หรือภาวะฉุกเฉินอื่นๆ การออกฤทธิ์ อินสุลินออกฤทธิ์ โดยจับกับอินสุลินรีเซพตอร์ที่เยื่อหุ้มเซลล์ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในโดยเร่งกลูโคสเข้าเซลล์กล้ามเนื้อและไขมันดีขึ้น ให้ผลในทางเสริมสร้าง คือให้ร่างกายสร้างไกลโคเจน โปรตีน ไขมัน และกรดนิวคลิอิกต่างๆ โดยช่วยในการทำงานของเอนไซม์ glycogen synthetase ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสเป็นไกลโคเจน
ผลข้างเคียง 1. เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 2 เกิดรอยบุ๋มหรือนูนตรงบริวณที่ฉีดยา เนื่องจากการลืบ หรือการเจริญเติบโตผิดปกดิ(Hypertrophy) ของเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้การดูดซึมของอินสุลินลดน้อยลง ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ 2.1 การเกิดรอยบุ๋ม เชื่อว่าเป็นผลจากสารโปรอินสุลินและโปรตีนที่ปนเปื้อนมากับอินสุลิน ทำให้เกิดแอนติบอดีต่ออินสุลิน 2.2 การเกิดรอยนูน เชื่อว่าเป็นผลจากฤทธิ์กระตุ้นการสร้างไขมันของอินสุลิน 3. การแพ้อินสุลิน มักเกิดจากอินสุลินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ มักมีปฏิกิริยาตรงผิวหนังบริเวณที่ฉีดซึ่งเป็นผลจาก lgE ทำให้เกิดอาการคันและบวมแดง 4. การดื้อต่ออินสุลิน อาจเกิดจกร่างกายสร้าง lgE มาต้านฤทธิ์อินสุลิน 5. ตาพร่ามัว เกิดจากอินสุลิน ทำให้แรงดันออสโมติก ระหว่างเลนส์กับน้ำในลูกตาเปลี่ยนแปลง ทำให้เลนส์บวม ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับคนสายตาสั้น
การพยาบาล 1. การฉีดอินสุลิน 2 ชนิดร่วมกัน ควรดูดอินสุลินชนิดใส (R) ก่อน แล้วจึงดูดอินสุลินชนิดขุ่น (NPH) เพื่อ ป้องกันมิให้ขวดน้ำยชนิดใสถูกผสมด้วยน้ำยาชนิดขุ่นจากความผิดพลาดขณะดูดน้ำยา ซึ่งหากนำน้ำยาขวดนี้ไปฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำจะเกิดอันตรายได้
2. ควรเปลี่ยนตำแหน่งที่ฉีดยา เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีและป้องกันผิวหนังบุ๋มหรือนูนบริเวณที่ฉีด คือ ฉีดได้ง่าย เช่น บริวณหน้าท้อง หน้าขา หลัง แขน เป็นต้น บริเวณที่อินสุลินดูดซึได้ดี คือ ระหว่างชั้นไม้นกับกล้ามเนื้อ 3. ไม่ควรฉีดอินสุลินบริเวณกล้ามเนื้อที่ใช้ออกกำลังกาย เพราะจะทำให้การดูดซึมอินสุลินจากบริเวณที่ฉีดเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ 4. การเก็บอินสุลิน ต้องเก็บในตู้เย็น อุณหภูมิ 2-5C หากต้องเดินทางอาจเก็บไว้ในภาชนะ ที่อุณหภูมิไม่เกิน 30c ได้ และควรใช้ภายในเวลาไม่เกิน 1 เดือน 5. สอนให้ผู้ป้วยฉีดอินสุลินได้ด้วยตนเอง

ยาcase1

 Omeprazole

ประเภท าลดกรดชนิด Proton pump inhibitor

ข้อบ่งใช้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร รักษาแผลในลำไส้เล็กส่วนตัน แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารอักเสบ รักษาภาวะการหลั่งกรดมากเกิน และ Zollinger-Ellison syndrome

การออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ H, K+ ATPase ซึ่งทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนไฮโดรเจนอิออนออกจากเซลล์ Parital ของกระเพาะอาหาร จึงยับยั้งการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหารที่ ขั้นตอนสุดท้าย จึงหยุดได้ทั้งกรดที่หลั่งเองตามปกติและกรณีที่เกิดจากการกระตุ้นต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์

ผลข้างเคียง พบน้อย อาจพบอการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มีผื่นขึ้น ลมพิษ อาการคัน ไอมีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ มึนงง ปวดหลัง ท้องเดิน ท้องผูก ท้องอึด ง่วงนอน นอนไม่หลับ สูญเสียกรทรงตัว เอนไซม์ในตับเพิ่มขึ้น รู้สึกไม่สบายตัว อาจมีอาการไวต่อแสง ผิวหนังร้อนแดง ศีรษะล้าน ปวดตามข้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปากแห้ง ตับอักเสบ

การพยาบาล ให้การดูแลและให้คำแนะนำผู้ป่วยดังนี้

1. ให้ยาก่อนอาหาร ในตอนเช้า 2 ยาลดกรดอาจให้สำหรับแก้ปวดท้อง สามารถให้พร้อมกับ Omeprazole หากลืมรับประทานยให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ไม่ควรรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท 4. ให้กลืนยาทั้งแคปซูล ไม่แกะแคปซูลหรือเคี้ยว 5 หกมีอคารผิดปกติ เช่น ปัสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บคอ และมีไข้ อ่อนเพลีย มาก ให้รายงานแพทย์ทราบ


Ceftriaxone 

ประเภท ยากลุ่ม Cephalosporins เป็น third generation

ข้อบ่งใช้ รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ผิวหนัง Phayngeal gonorrhea การติดเชื้อ แบคทีเรียในกระแสเลือด กระดูก ซ้อ ช่องท้อง ยื่อหุ้มสมอง หูชั้นกลางในเด็ก

การออกฤทธิ์ ยับยั้งการสร้างผนังเชลล์ของแบคทีเรีย จะฆ่เชื้อแบคที่เรียชนิดแกรมบวก ใช้ได้ผลดีต่อเชื่อ S, aureus ทั้ง Penicillin-sensitive และ Resistant strains แต่มีผลน้อยต่อ Methicilin และ Oxacillin-resistant strains ให้ผลดีต่อพวก Streptococci รวมทั้ง S. pneumoniae ไม่มีผลต่อ S. faecalis แบคที่เรียชนิดแกรมลบ ใช้ได้ผลดีต่อเชื้อ E. coli, Klebsiella sp. H. influenzae, แต่มีผลน้อยต่อ Ps. Aeruginosa และให้ผลดีต่อ Anaerobes ให้ผล ปานกลางหรือเล็กน้อยต่อเชื้อส่วนใหญ่ รวมทั้ง Bacteroides fragilis

ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องอึด กดการสร้างไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และ Hc ต่ำ แพ้ยา เช่น ฝิ่นคัน มีไช้ ปวดบริเวณที่ฉีด เป็นดัน

การพยาบาล

1. หากฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ขนาด 025 กรัม หรือ 0.5 กรัม ละลายใน 2 มิลลิลิตร หรือ ขนาดยา 1 กรัม ใน 35 มิลลิลิตร ของ 1.0% Lidocaine hydrochloride solution ควร ฉีดลึกๆ และในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ หกต้องฉีดยาขนาด 2 กรัมขึ้นไป ให้แบ่งฉีดที่ กล้ามเนื้อคนละมัด นวดให้ยากระจายเพื่อช่วยให้การดูดซึมดีขึ้น 2. หากฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ละลายยา 025 หรือ 05 กรัม ในน้ำกลั่น 5 มิลลิลิตร หรือ 1 กรัมใน 10 มิลลิลิตร ของน้ำกลั้นฉีดเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ ใน 2-4 นาที หรือให้ทาง Intravenoussolution ผสมยา 2 กรัมใน 40 มิลลิลิตร ของ 0.9% NaCl injectionหรือ 5% dextrose injecton ให้ Infusion ภายใน 5-15 นาที


Aspirin หรือ Acetylsalicylic acid (ASA)
        ประเภท  ยาระงับปวด ลดไข้ ชนิดไม่เสพติด aspirinเป็นยาหลักของยาในกลุ่มยาระงับปวด ลดไข้ (Analgesics/antipyretics) ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่ยาสเตีรอยด์
        รูปแบบ  ยาเม็ด 60gm, 81mg, 300mg, 325mg
        ขนาดและวิธีใช้ 
          1. ใช้แก้ปวดลดไข้ ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2 เม็ด (ขนาด 300 mgหรือ 325 mg) รับประทานเวลามีีอาการและให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง  
          2. ใช้แก้ปวด ผู้ใหญ่และผู้มีอายุมากกว่า 10 ปี ครั้งละ 2 เม็ด (ขนาด 300 mgหรือ 325 mg) และให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง  
          3. ใช้แก้ข้ออักเสบ ผู้ใหญ่ครั้งละ 3-5 เม็ด (ขนาด 300 mgหรือ 325 mg) วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนอาหาร  
          4. ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลลือดและหัวใจ ผู้ใหญ่ให้ครั้งละ 75 - 325 mg วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้าเป็นประจพทุกวัน (ในกรณีที่ไม่มีaspirinขนาด 75 mg ให้ใช้aspirinขนาด 81 mg 1 เม็ดหรือขนาด 60 mg 11/2 - 2 เม็ดแทนได้
        ข้อบ่งใช้  เป็นอนุพันธ์ของกรด Salicylic ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาถูก มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงหากใช้ถูกวิธี มีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้  
          1.ลดไข้  
          2. บรรเทาอาการปวดทุกชนิด เช่น ปวดหู ปวดตา ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ปวดประจำเดือน ปวดแผล (ยกเว้นปวดท้องโรคกระเพาะห้ามใช้)  
          3. ลดการอักเสบ เช่น ข้ออักเสบ ในโรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบรูมาตอยด์  
          4. ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วคราว หรือ Transient ischemic attacks (TIA)
        การออกฤทธิ์  
          1. การยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดไข้ คือ Prostaglandins ที่ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่อัยโปธาลามัส กระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว และทำให้นย์ควบคุมอุณหภูมิอยู่ในระดับปกติ จึงนิยมใช้ลดอุณหภูมิในร่างกายที่มีสารทำให้เกิดไข้  
          2. ยับยั้งการสร้างสาร Prostaglandins ที่ทำให้เกินความเจ็บปวด ทำให้ตัวรับความรู้สึกไม่ไวต่อการกระตุ้น จึงได้ผลดีต่อการระงับปวดชนิดตื้นๆ หรือปวดตุ้บๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการอักเสบ ในกรณีที่เป็นความเจ็บปวดจากการกระตุ้นที่ปลายประสาทรับความรู้สึกโดยตรงจะได้ผลน้อย เช่น ในรายที่ปวดลักษณะเหมือนของแหลมคม และทิ่มแทง เป็นต้น  
          การให้aspirinไม่สามารถระงับความเจ็บปวดที่เกิดจากการให้ Prostaglandins ที่ตำแหน่งนั้นโดยตรง และยังสามารถการอักเสบ โดยการยับยั้งการสร้างสาร Prostaglandins ผ่านการลดการสร้างเอนไซม์ cycloxygenase ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นการเจ็บปวด และกระบวนการอักเสบ โดยออกฤทธิ์ต่อตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด ทั้งส่วนกลางและส่วนปลาย 
        ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง  
          1. มีอาการแพ้โดยมีผื่นคัน ผื่นแดง ลมพิษ ผิวหนังลอก มีอาการบวม อาจจะเกิดอาการพิษตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรง หากแพ้มากๆอาจเป็นหอบหรือชัก ถ้าพบอาการดังกล่าวให้หยุดยาชนิดนี้อย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้แพ้อีก  
          2. อาจจะมีอาการระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้อง มีอาการอาเจียนบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร จะไม่ควรใช้ในขณะท้องว่างหรือมีประวัติเป็นแผลในกระเพาะอาหาร  
          3. หากใช้ยาขนาดมากเกินไป จะทำให้มีอาการมึมงง ใจสั่น หูอื้อ หากรุนแรงอาจชัก ซึมจนไม่รู้สึกตัว ในเด็กอาจตายได้ เรียกว่า (Salicylate poisoning)  
          4. ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติซีดเหลืองบ่อยจากโรคโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกเพราะจะทำให้เกิดอาการซีดเหลืองมากขึ้น  
          5. ทำให้เลือดออกง่าย เพราะยานี้ทำให้การเกาะตัวของเกล็ดเลือดลดลง (Platelets aggregation) จึงห้ามใช้ในผู้ป่วยที่สงสัยจะมีเลือดออก เช่น ไข้เลือดออกและโรคเลือดต่างๆ  
          6. ไม่ควรใช้ในเด็กต่ำกว่า 1 ขวบ และไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า19 ปี ที่เป็นไข้หวัดหรืออีสุกอีใส ทำให้เกิด Reye's Syndrome ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงถึงตายได้  
          7. ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด อาจทำให้ตกเลือดได้ง่าย และทำให้ทารกผิดปกติ และไม่ใช้ในหญิงให้นมบุตร เนื่องจากยานี้ขับออกมากับนม  

          8. หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเกาต์ เนื่องจากอาจทำให้กรดยูริคในเลือดสูงและโรคเกาต์กำเริบได้
          9. หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาต้านอัดเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และแอลกอฮอล์เพราะอาจเสริมฤทธิ์ในการระคายเคืองต่อกระเพาพอาหารมากขึ้น
          10. ยานี้อาจเสริมฤทธิ์ยาเม็ดรักษาเบาหวานและสารกันเลือดเป็นลิ่ม ทำให้สารเหล่านี้ออกฤทธิ์แรงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เกิดภาวะน้ำตาลใรเลือดต่ำ ภาวะเลือดออก เป็นต้น
        การพยาบาล
          1. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แผลในทางเดินอาหาร ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้ในเด็กเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นที่มีอาการไข้เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น อีสุกอิใส ไข้เลือดออก เป็นต้น ห้ามใช้ในผู้ป่วยฮีโมฟิเลีย ผู้กำลังได้รับยาห้ามการแข็งตัวของเลือด
          2. ระวังการใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตยมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพราะจะมีผลรบกวนระยะการคลอด ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแผลในทางเดินอาหาร โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคเลือด และโรคหืด
          3. รับประทานยาหลังอาการทันที หรือหลังรับประทานอาหารใหดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อลดความเข้มข้นของกรดในยาให้เจือจางลง ป้องกันยาระคายเคืองกระเพาะอาหาร ห้ามรับทานพร้อมกับนม หรือยาลดกรด ควรเว้น 2 ชั่วโมง
          4. ให้ดื่มน้ำ เครื่องดื่ม หรือรับประทานอาหารอาหารเหลวบ่อยๆ เพื่อช่วยลดความร้อน ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดหลังรับประทานยา
          5. ควรหยุดยา aspirin ในผู้ป่วยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดแน่นท้อง อุจจาระมีสีดำ มีจ้ำเลือด หรือจุดเลือดตามตัว
          6. ไม่ซื้อยารับประทานเองและใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจรับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง
          7. สังเกตพิษและผลข้างเคียง เชาน หูอื้อ เวียนศรีษะ จุดจ้ำเลือด ผื่นคัน เป็นต้น
          8. หากผู้ป่วยรับประทานยาเกิดขนาด ให้การช่วยเหลือโดยหยุดใช้ยา เตรียม Salicylate ในเลือด กระตุ้นให้อาเจียนหรือล้างท้อง และให้ยาแก้ฤทธิ์ เช่น Activated chacoal เป็นต้น เตรียมสารน้ำให้ทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้ไตทำงานปกติ โดยใช้5%D/W อาจให้โซเดียมไบคาร์บอเนตเพื่อเพิ่มpH เร่งการขับถ่ายยา หากอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาทำDialysis ชนิดแลกเปลี่ยนพิษยาทางหน้าท้อง(Peritoneal dialysis)หรือทางเลือด(Hemodialysis)


Valium

ประเภท ยาพวก Benzodiazepine เป็นกลุ่ม Tranquilizer

ข้อบ่งใช้ ลดความวิตกกังวล ระงับอาการชัก และสงบประสาท

การออกฤทธิ์ กดประสาทส่วนกลาง ยับยั้งการสงกระแสประสาทเสริมฤทธิ์ Gamma aminobutyric acid GABA) ทำให้การยับยั้งและอุดกั้นการตื่นตัวของกระแสประสาท ทั้งส่วน Limbic และSubcotical จึงทำให้สมองส่วนรับความรู้สึถูกกด การเคลื่อนไหวจึงช้าลง การทำหน้าที่ของสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดอการซึม มึนงง ง่วงหลับ

ผลข้างเคียง ไม่รุนแรง ที่พบบ่อย ได้แก่ มีอคารคลื่นไส้อาเจียน ง่วงนอน ตื่นเต้นผิดปกติ นอนไม่หลับอ่อนล้า และกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจกดการหายใจ เมื่อให้ยาในขนาดสูงๆ หรือใช้ยานี้ในระยะยาวๆ อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เช่น ตามัว เห็นภาพช้อน ปวดศีรษะ ปัสสาวะกะปริดกะปรอย พูดไม่ชัด มือสั่น ผื่นขึ้น

การพยาบาล

1. ดูแลผู้ป้วยอย่างใกล้ชิด เช่น อาการจากการหายใจถูกกด เป็นต้น 2 ไม่ควรใช้ยานี้เอง หรือรับประทานยานี้นานๆ หรือหยุดยาเองในทันที เพราะอาจติดยาและเกิดผลเสียได้ 3. สังเกตอาการข้างเคียง เช่น เหนื่อยล้า สับสน น้ำหนักเปลี่ยน ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ตัวตาเหลือง ผื่นขึ้น ซึมเศร้า เป็นตัน ให้รายงานแพทย์ทราบ 4. หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และยาที่กดประสาท เช่น Narcotics, Sedative, Tranquilizers ยานอนหลับ ยารักษาอาการแพ้หรือแก้หวัด เป็นต้น 5. หากมีอาการผิดปกติของ Agranulocytosis เช่น มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ไอ ปวดหลัง เป็นต้น ให้รายงานแพทย์ทราบ 6. ยานี้อาจเป็นสาเหตุทำให้มึนงง ตาพร่ามัว ห้ามขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือ ใช้ของมีคบ 7. ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวช้าจากท่านอนเป็นนั่ง หรือยืน หากมีอาการวิงเวียน 8. ปากแห้ง หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานยำทันทีที่นึกได้ แต่ไม่เพิ่มยาเป็น 2 เท่า ในครั้งนั้น



Folic acid

แหล่งที่มา กรดโฟลิก อาจใช้โฟเลทซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติทางชีวเคมีเหมือนกรดโฟลิก อาหารที่มีโฟเลตมาก ได้แก่ ยีสต์ ตับ ถั่ว และผักใบเขียว ประโยนช์ กรดโฟลิกถูกเปลี่ยนที่ตับเป็น Folinic acid ซึ่งเป็น Active form มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ สั่งเคราะห์ DNA RA และ กรดอะมิโนบางตัว และเกี่ยวกับการสร้างเม็ดเลือด ข้อบ่งใช้ สำหรับโรคโลหิตจางชนิด Megaloblastic, ผู้สูงอายุ ผู้ปวยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ผู้ที่ได้ otrexate, Pyrimethamine, Triamterene, Trimethoprim ยากันชัก และยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานๆ อาการการขาด มีอาการปากเปื่อย ลิ้นอักเสบ ท้องเดิน น้ำหนักตัวลดลง มีอาการทางระบบประสาทโรค megalobblastic anemia การพยาบาล ระวังการใช้ร่วมกัยกันชัก พราะกรดโฟลิกลดฤทธิ์ยากันซัก DiphenyIhydantoin และเก็บยาให้พ้นแสงอาจใส่ชองหรือขวดสีชา ห้ามรับประทานพร้อมนมหรือยาลดกรด ควรเว้น 2 ชั่วโมง



Nicardipine
ประเภท Calcium antagonists
ข้อบ่งใช้ รักษาความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง เป็นยารักษา Angina pectoris ภาวะหัวใจวาย และ หลอดเลือดสมองผิดปกติ การออกฤทธิ์ ยาจะยับยั้งช่องทางแคลเชียมที่จะเข้าไปในกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมีผลให้การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเพียงพอและความดันโลหิตลดลง ผลข้างเคียง มีอาการบวม หน้าแดง ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ EKG ผิดปกติ มึนศีรษะ ปวดศีรษะ เป็นลมลม อ่อนเพลีย กังวล สับสน คลื่นไส้ อาเจียน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เจ็บคอ มีผื่นคันตามตัว ตามัว หายใจหอบ ปัสสาวะบ่อย การพยาบาล ให้คำแนะนำผู้ป้วย ดังนี้ 1. ให้กลิ่นยาทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยว หรือบดเม็ดยาให้แตก 2. ให้เคลื่อนไหวช้าๆจากทำนั่งเป็นยืน นั่งเป็นนอน หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด น้ำฝักบัวการขับรถ หรือใช้ของมีคม เนื่องจากผู้ป้วยจะมีอาการหน้ามืด ตาลาย เป็นลม จากOrthostatic hypotension 3. ให้สังเกตและบันทึกสัญญาณชีพ และน้ำหนักที่บ้าน 4. ให้รับประทานยตามแพทย์สั่ง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะยาบางตัวอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ เช่น ยากดประสาทส่วนกลาง ยารักษาหวัด หอบหืด ยาลดน้ำหนัก ยาขับปัสสาวะ เป็นตัน ทำให้ยามาเสริมฤทธิ์กัน
5. ลดน้ำหนัก ลดอาหารเค็ม เลิกสูบบุหรี่ กาแฟ ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เพื่อให้การรักษาดีขึ้น
6. หากลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ต้องห่างกับมื้อต่อไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อย่ารับประทานยาเป็น 2 เท่า


atorvastatin
ประเภท ยาลดไขมัน (Lipid-lowering agent ชนิด HMG-COA reductase inhibitor) ข้อบ่งใช้ ลดระดับ LDL-C และ TC ในผู้ป่วย Hypercholesterolemia เช่นเดียวกับยาในกลุ่ม Statins ชนิดอื่น และสามารถลดระดับไตรกลีเชอไรด์ ได้ปานกลางในผู้ป่วย Hypertriglyceridemia ใช้กรณีที่ใช้ Simvastatin แล้วไม่ได้ผล การออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme-A (HMG-COA) reductase ในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล ผลข้างเคียง มีไข้ เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระอัดแน่น ท้องอึด และปวดกล้ามเนื้อ มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้น
การพยาบาล ให้คำแนะนำผู้ป่วย ดังนี้ 1. ให้รับประทานยาก่อนอาหาร โดยผสมยานี้กับน้ำสะอาดประมาณแก้ว หรือผสมกับน้ำผลไม้ก็ได้ 2 ให้จำกัดอาหารประเภทไขมัน ออกกำลังกายและงดสูบบุหรี่ 3. ให้ระวังอาการท้องผูก หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบรายงานให้แพทย์ทราบ เพื่อพิจารณา ให้วิตามินเค 4. ให้ตรวจระดับ CPK เป็นระยะๆ ระหว่างการใช้ยา และควรระวังในกรณีที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอ่อนเพลียและมีไข้ร่วมด้วย และควรหยุดยาชั่วคราวหรือเลิกใช้ยา หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ร่วมกับมีระดับ CPK มากกว่า 10 เท่าของคำสูงสุดของค่าปกติ


Dilantin
ประเภท ยากลุ่ม Hydantoins ข้อบ่งใช้ รักษาลมชักได้ทุกชนิด ยกเว้นชนิด Petit mal การออกฤทธิ์ ลดการซึมเข้าของ Na+ และ Ca+ และการซึมออกของ K+ ผ่านเยื่อหุ้มเชลล์ ผลข้างเคียง ตากระตุก เดินเช มึนงง สับสน ตาพร่า นอนไม่หลับ มือสั่น หงุดหงิด ปวดศีรษะประสาทหลอน คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย เหงือกบวมในเด็ก เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดทุกชนิดต่ำ มีไข้ น้ำตาลในเลือดสูง ไขกระดูกเสื่อม มีผื่นตามผิวหนัง ขนขึ้นมาก การพยาบาล ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วย ดังนี้ 1. ให้ผู้ป่วยระวังอุบัติเหตุจากอาการง่วงนอน มึนซึม
2 ให้ผู้ป่วยงดดื่มสุราและยาต่างๆ ที่มีปฏิกิริยต่อกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาตัวอื่น 3. ให้ผู้ป่วยตรวจฟันและเหงือก เนื่องจากยาอาจมีผลทำให้เหงือกบวม 4. แนะนำผู้ป่วยว่าไม่ต้องตกใจ เพราะยาทำให้สีปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดงคล้ำ ห้ามรับประทานยาพร้อมกับยาลดกรด หรือรับประทานในเวลาใกล้กับยาลดกรดภายใน2-3 ชั่วโมง 5. ให้ผู้ป้วยรับประทานยพร้อมอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองกระเพาะอาหาร 6. ระวังการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ในผู้ป่วยเบาหวาน



Plasil
ประเภท ยาระงับอาการคลื่นไส้ อาเจียนที่นิยมใช้มากเพราะได้ผลดี และมีฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย ข้อบ่งใช้ ป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดและหลังผ่าตัด การออกฤทธิ์ จับกับ Chemoreceptor trigger zone (CT2) และออกฤทธิ์ต้านการหลั่ง Dopamine ซึ่งเป็นสารสื่อสัญญาณประสาทที่สำคัญของ CTZ ทำให้ Thredshold ของ CTZ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังลดสัญญาณประสาทของระบบทางเดินอาหารไปยังศูนย์อาเจียน และเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดในหลอดอาหาร ทำให้อาการคลื่นไส้ อาเจียนลดลง ผลข้างเคียง ง่วงนอน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วคลื่นไส้ ท้องผูกหรือท้องเสีย ปากแห้ง มีผื่นขึ้นตามร่างกาย อาการบวม เต้านมโตในผู้ชายและหมด สมรรถภาพทางเพศ ในผู้หญิงมีน้ำนมไหลและขาดประจำเดือน
การพยาบาล ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วย ดังนี้ 1. ให้หลีกเลี่ยงการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและการขับรถขณะรับประทานยา 2. หากต้องการป้องกันอาการอาเจียนขณะรับประทานอาหาร ต้องให้รับประทานอาหารประมาณ 30 นาที 3. ควรเก็บยาไว้ในขวดสีชา เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแสง สำหรับยาฉีดหากใช้ไม่หมดให้ทิ้งไปห้ามเก็บไว้ใช้อีก เพราะยาเสื่อมสภาพเมื่อถูกแสง 4. สังเกตอาการแพ้ยาและอาการเปลี่ยแปลงที่เกี่ยวกับการกดสมองของยา ในคนอายุน้อย เด็ก หรือผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดสูงๆ ต้องสังเกตอาการที่เรียกว่า Extrapyramidal symptoms ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีการสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง การเคลื่อนไหวลำบาก ตาเหลือก ลูกตาวิ่งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองเมื่อหยุดยา 5. สังเกตภาวะโชเดียมในเลือดสูงและโปแตสเชียมในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วย โรคหัวใจ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ 6. อาการต่างๆ ซึ่งเกิดจากระดับโปรแลคติน เพิ่มขึ้นในเลือด เช่น เต้านมโต มีน้ำนมไหล เป็นตัน โดยปกติจะหายไปภายในเวลา 2-3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนหลังหยุดยา ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ 7. ดูแลความสะอาดปาก ฟัน หากมีอาการปากคอแห้ง ให้ดื่มน้ำมากขึ้น


Ampicillin
ประเภท ยาปฏิชีวนะ กลุ่มเพนิชิลลิน ข้อบ่งใช้ ขจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ติดเชื้อในหู ทางเดินปัสสาวะ และผิวหนัง เป็นตัน
การออกฤทธิ์ เป็นยาที่มีขอบเขดการออกฤทธิ์กว้างกว่ายาชนิดอื่นในกลุ่มเดียวกัน Ampicillin เป็นสารกึ่งสังเคราะห์จากเพนิชิลลิน ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรียเหมือน Penicillin G ใช้ต่อตันเชื้อแบคที่เรียทั้ง gram+ve และ gram-ve ผลข้างเคียง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นแดงตามตัวซึ่งไม่ใช่เกิดจากการแพ้ยา การพยาบาล
1. ชักประวัติเกี่ยวกับการแพ้เพนิชิลลิน หากมีประวัติการแพ้ยาเพนิชิลลิน ห้ามใช้ยานี้ 2. ส่ง Specimens เพื่อตรวจหาเชื้อก่อนให้ยา Doรe แรก 3. สังเกตอาการแพ้ชนิด Anaphylaxis ช่น หายใจลำบาก บวม หัวใจเต้นเร็ว มีผื่นคัน เป็นต้น และเตรียมยา (Adrenaline, Antihistamines) และอุปกรณ์ (Intubation) เพื่อให้การช่วยเหลือ 4. หากเป็นยารับประทานให้ดื่มน้ำตาม1แก้วให้ขณะท้องว่าง 1 ชั่วโมงก่อนหรือหลัง อาหาร แนะนำผู้ป้วยให้รับประทานยาให้ครบ Doรe ตามแผนการรักษา 5. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาโดยแบ่งมาจากผู้อื่น

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563

ยา

 Amitriptyline (10) 1×hs.

ประเภท ยาป้องกันการเกิดไมเกรน และรักษาอการซึมเศร้า เป็น Tricyclic antidepressant ข้อบ่งใข้ ใช้ได้ผลดีกับผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียด ยานี้ได้ผลค่อนข้างดีในการป้องกัน ไมเกรน ถึงแม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย การออกฤทธิ์ โดยจะเพิ่มระดับ Norepinephrine ให้มากขึ้นในระบบประสาท ออกฤทธิ์ต่อต้านอาการ ซึมเศร้า โดยยับยั้งการ Uptake สารสื่อประสาท Norepinephrine และ serotonin ในระบบประสาทส่วนปลาย นอกจากนั้นยานี้ยังสามารถออกฤทธิ์เป็นยาต่อต้านการแพ้ ช่วยสงบประสาท ลดปฏิกิริยา Cholinergic ขยายหลอดเลือดและยังออกฤทธิ์คล้าย Quinidine ผลข้างเคียง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น มีภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนทำ (Postural hypotension) ถ้าได้รับยาในขนาดสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ มีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งถ้าแก้ไขไม่ทันอาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตได้ ทำให้งงมาก เหมาะที่จะใช้ในเวลากลางคืนเพื่อให้ผู้ป่วยหลับได้สบายขึ้น และอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น คอแห้ง ตาพร่า ท้องผูก และมีอาการปัสสาวะลำบากในผู้ป้วยสูงอายุ

การพยาบาล

1. ตวจสอบสัญญาณชีพอย่างสเสมอ เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตต่ำ ถ้าชีพจรเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งนาที ต้องเฝ้าสังเกตผลข้างเคียงของผู้ป่วย 2 เมื่อพบสิ่งผิดปกติต้องรีบรายงานแพทย์ทราบ สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี จะต้องทำEKG ตรวจสอบเป็นระยะๆ

3. หากพบอการท้องผูก ปัสาวะคั่งค้าง อาจต้องลดขนาดยาลง ให้ผู้ป่วยรับประทานยาทันทีที่นำไปให้ผู้ป่วย เพื่อป้องกันการเก็บสะสมไว้รับประทานทีละมากๆ เพื่อจุดประสงค์ใช้เป็นยาฆ่าตัวตาย 4. สังเกตการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของผู้ป่วยอันเนื่องมาจากยา แนะนำให้ผู้ปวยเข้าใจ


Gabapentin (300) 1×hs.

ประเภท ยาระงับการชัก ข้อบ่งใช้ เป็นยาเสริมกับยาต้านโรคลชักมาตรฐานในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคลมชักชนิด Partial seizure และ Generalized tonic-clonic seizure ชนิดเพิ่มฤทธิ์ของทั้งเอนไซม์ Glutamate dehydrogenase และ Glutamic acid decarboxylase การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์ผ่าน receptor ชนิดใหม่มีชื่อว่า Gabapentin receptor ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มฤทธิ์ ของเอนไซม์ Glutamate dehydrogenase (GDH), Glutamic acid decarboxylase(GAD), alanine aminotransferase, Aspartate aminotransferase, Branched-chain amino acid aminotransferase (BCAT), Gramma-glytamyl transferase และ GABA transferase (GABA-7) ซึ่งจะมีผลทำให้ GABA ในสมองเพิ่มสูงขึ้น ผลข้างเคียง ง่วงนอน น้ำหนักตัวเพิ่ม เดินเช ขาดสมาธิ วิงเวียน ไม่มีแรง และปวดศีรษะ

การพยาบาล 1. แนะนำผู้ป่วยว่าอย่าหยุดยกะทันหัน เนื่องจากการหยุดยาทันทีอาจจะกระตุ้นให้เกิดอาการชัก 2. สังเกตอาการข้างเคียง หากพบรายงานแพทย์ทราบ 3. แนะนำให้ผู้ป่วยระวังอุบัติเหตุ เพราะยาอาจทำให้ง่วง


Cefazolin 1g v q 6hr.

ประเภท ยาปฏิชีวนะ กลุ่ม Cephalosporins เป็น First generation ข้อบ่งใช้ รักษาการติดเชื้อทางเดินทายใจ ทางเดินอาหาร ผิวหนัง ท่อทางเดินน้ำดี กระดูก ข้อ ติดเชื้อในกระแสเลือดและเยื่อหัวใจ ใช้ป้องกันการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด การออกฤทธิ์ มีฤทธิ์ต้านแบคที่เรียบวกและลบ Staphylococcus aureus, E. Coli, Proteus mirabills. Hemophius infuenzae ใช้รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจ ช่องหูส่วนกลาง ผิวหนัง กระดูกและทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อจากการผ่าตัดเปิดหัวใจเส้นเลือดแดงในช่องท้อง ข้อตะโพก ช่องปาก สูติ-นรีเวช เนื้อเยื่ออ่อน ติดเชื้อท่อน้ำดี ถุงน้ำดี ไขกระดูกอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ผลข้างเคียง มีพิษต่อไต พิษต่อระบบประสาท โดยเฉพาะในรายที่ได้รับยาติดต่อกันเป็นเวลานานหรือขนาดสูง แพ้ยาชนิด Anaphylaxis ผื่นคันมีจุดเลือดออก ไข้ หนาวสั่น ปวดข้อ บวม การแข็งตัวของเลือดช้า มี Neutropenia, Leukopenia

การพยาบาล ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วย ดังนี้ 1. ซักประวัติเกี่ยวกับการใช้ย ในกรณีที่มีประวัติแพ้ยเพนิชิลลิน มีโอกาสเกิดการแพ้ยา Cephalosporins ได้ 2. ให้รับประทานยาพร้อมอาหารหรือนม ป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร

3. ไม่ให้รับประทานยาร่วมกับการดื่มสุรา 4. หากฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะเจ็บปวดมากและปวดนาน หากจำเป็นต้องฉีด ผสม 1 กรัม ในน้ำกลั่น 25 มิลลิลิตร ควรฉีดที่ลึกที่กล้ามเนื้อใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อตะโพก เป็นตัน และเปลี่ยนที่ฉีดบ่อยๆ 5. การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำแต่ละครั้ง หากฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ผสม 1 กรัม ในน้ำกลั่น 10 มิลลิลิตร push ให้นานมากกว่า 30-40 นาที ให้ได้ 2-4 ครั้งต่อวัน ระวังยารั่ว ออกนอกหลอดเลือด เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณที่ฉีดยา 6. หลังฉีดยาควรสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาที่ เพื่อป้องกันการแพ้ยาและภาวะภูมิไวเกิน 7. ไม่ให้ร่วมกับยาปฏิชีวนะอื่นในกระบอกฉีดยาหรือขวดผสมยาเดียวกัน 8. สังเกตอาการไข้ ควรลดลงและปริมาณปัสสาวะที่ออกควรมีจำนวนปกติ 9. สังเกตภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ได้แก่ เชื้อราในปาก และอวัยวะสืบพันธุ์



วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2563

20/9/63

 Morphine

ประเภท ยาระงับปวดชนิดเสพติด สกัดได้จากฝิ่นตามรรมชาติ มีประสิทธิภาพสูงสุดในการระงับอาการปวด

ข้อบ่งใช้ บรรเทาอาการปวดระดับกลางถึงรุนแรง อาการปวดรุนแรง กลัามเนื้อหัวใจตาย ใช้ก่อน ผ่ตัดเพื่อลดขนาดยาสลบ ควบคุมอาการหลังผ่าตัด บรรเทาความวิตกกังวล ลดอาการเหนื่อย เนื่องจาก Acute left ventricular failure และ Pulmonary edema ใช้เป็นยาสลบเพื่อ ผ่าตัด Open-heart ระงับปวดจากโรคมะเร็ง

การออกฤทธิ์ กระตุ้น Opioid recepto ได้ดี ในไขสันหลังและที่สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด ทำให้การนำความรู้สึกและการแปลผลกี่ยวกับความเจ็บปวดลดลง

ผลข้างเคียง ที่สำคัญ คือ กดการหายใจ คลื่นไส้ อเจี่ยน ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น เวียนศีรษะท้องผูก ม่านตาเล็กลง ปัสสาวะไม่ออกอาการพิษจะเกิดจากการใช้ยาเกินขนาด เช่น ไม่รู้สึก ตัว ม่านตาเท่ารูเข็ม หายใจช้ามาก ในที่สุดเป็น Cheyne-Siokes เกิดอาการตัวเขียว ผิวหนัง เย็น ความดันโลหิตต่ำ หมดสติ เป็นต้น บางรายมีอาการติดยาเมื่อใช้ยาทุกวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ คือ เมื่อติดยาแล้วหยุดยาจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ เรียกว่า อาการลงแดง มีอาการเหงื่อแตก น้ำตาไหล ความดันโลหิตสูง ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน หงุดหงิด กังวล

การพยาบาล

1. การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ควรฉีดช้าๆ ให้ช่วงเวลาฉีดแต่ละครั้งมากกว่า 5 นาที และต้องสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด 2. สังเกตและตรวจสอบสัญญาณชีพก่อนและหลังให้ยา ถ้าพบอัตราการหายใจ 12 ครั้งต่อนาที ควรรายงนแพทย์ทราบเพื่อพิจารณางดยา 3 บันทึกปริมาณน้ำเข้าและน้ำออก เพื่อดูการทำงานของไต 4. สังเกตอาการข้างเคียงของยา อาการติดยา ถ้ายาระคายเคืองกระเพาะอาหาร ให้รับประทานยาร่วมกับนมหรืออาหาร หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและยากดประสาท 5. สังเกตระดับความสึตัว ภาวะทางจิตใจในผู้ที่ได้รับยานานๆ 6 แนะนำผู้ปวยไเปลี่ยนอิริยบถอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันความตันโลหิตลดต่ำ

7. แนะนำผู้ป้วยให้หลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล สอนให้ผู้ป้วยหายใจเข้ลึกๆ และเปลี่ยนอิริยบถเก่ที่จำเป็น เพื่อให้หายเจ็บปวดเร็วขึ้น 8. เตรียมออกซิเจน เครื่องช่วยหายใจให้พร้อม 9. จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ เพื่อให้ผู้ป้วยบรรเทาความเจ็บปวด 10. ลดความวิตกกังวลของผู้ป้วย



1) 1-15/9/63 2) clindamycin 600 mg v q 8 hr ประเภท ยาระงับปวด (Analgesic) รูปแบบ ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ขนาด 600 mg ขนาดและวิธีใช้ ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ขนาด 600 mg ทุก 8 ชั่วโมง ข้อบ่งใช้ เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย มักใช้รักษาสิวอักเสบ ผิวหนังอักเสบ การติดเชื้อในข้อต่อกระดูก ระบบทางเดินหายใจ ช่องปาก ช่องท้อง หรือรักษาแบคทีเรียในช่องคลอด เป็นต้น อาจใช้เป็นยารักษาเพียงอย่างเดียว ใช้ควบคู่กับยาปฏิชีวนะตัวอื่น หรือใช้เมื่อใช้ยาตัวอื่นแล้วไม่ได้ผล การออกฤทธิ์ ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงบางชนิด ยานี้เป็นหนึ่งในยาปฏิชีวนะกลุ่ม lincosamide หรือ lincomycin ออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกาย ผลข้างเคียง ผู้ป่วยอาจเกิดอาการจากการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น หายใจติดขัด หน้าบวม หรืออาจเกิดผลข้างเคียงจากตัวยาได้ ควรหยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันทีหากพบตัวอย่างอาการเหล่านี้ ตัวเหลืองตาเหลือง อาเจียน ปวดท้องมากหรือท้องเสีย อาการแสดงของภาวะความดันโลหิตต่ำ ตั้งแต่มึนหัวจนถึงเป็นลมหมดสติ อาการปวดหรือมีปัญหาในการกลืน เช่นปวดบริเวณด้านหลังของกระดูกหน้าอก อาการแสบร้อนกลางหน้าอกหรือกรดไหลย้อน หลอดเลือดดำเกิดการระคายเคือง (หากได้รับยาในรูปแบบให้ทางหลอดเลือดดำ) ไข้หรือปวดตามตัว มีตุ่มหรือมีอาการบวมตามริมฝีปาก ปาก ตา หู จมูก หรือบริเวณอวัยวะเพศ อาการแสดงของภาวะเลือดออกผิดปกติซึ่งเกิดจากการมีเกล็ดเลือดต่ำเช่นช้ำง่าย มีเลือดออกที่เหงือกเวลาแปรงฟัน มีระดับเม็ดเลือดขาวบางชนิดสูงหรือต่ำเกินไปจนผิดปกติ (eosinophil และ granulocytes) บางกรณีอาจมีอาการหายใจไม่ออกอย่างรุนแรงได้แต่พบได้น้อย ภาวะเช่นนี้เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต ควรหยุดยาทันที การพยาบาล การพยาบาลและให้แนะนำ 1. ระมัดระวังเกี่ยวกับผลข้างเคียงทีรุนแรงคืออาการท้องเสียจากการติดเชื้อ โดยยานี้จะทำให้สมดุลของจุลชีพในลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบ ท้องเสีย และเกิดการทำลายลำไส้ตามมา 2. ไม่ควรซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง 3. ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ตระกูลส้มและน้ำผลไม้เหล่านี้ระหว่างที่รับประทานยา Clindamycin เนื่องจากน้ำผลไม้นี้จะลดความสามารถของร่างกายในการสลายยา ทำให้ระดับของยาในเลือดนั้นอาจสูงจนเป็นอันตรายได้ 4. ไม่แนะนำให้รับประทาน Clindamycin ขณะกำลังให้นมบุตร ต้องแจ้งแพทย์ก่อนใช้ยานี้หากกำลังอยู่ในระหว่างให้หรือวางแผนที่จะให้นมบุตร 5. หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ หากกำลังจะถึงมื้อยาถัดไปให้ข้ามมื้อที่ลืมนั้นไปและรับประทานยามื้อใหม่ตามปกติ ห้ามรับประทานยา 2 มื้อรวมกันในเวลาเดียว





1) 1-15/9/63 2) Tramadol (50) 1x2 O pc ประเภท ยาระงับปวด (Analgesic) รูปแบบ ยาเม็ด ขนาด 50 mg ขนาดและวิธีใช้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด (50 mg) 2 เวลาหลังอาหาร เช้า-เย็น ข้อบ่งใช้ ยาบรรเทาอาการปวดออกฤทธิ์ที่ประสาทส่วนกลาง ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก การออกฤทธิ์ เป็นยาในกลุ่มโอพิออยด์ (opioids) ออกฤทธิ์เหมือนมอร์ฟีน ใช้ระงับอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงเช่นเดียวกับมอร์ฟีน (morphine) โดยออกฤทธิ์กระตุ้นที่มิว รีเซปเตอร์ แต่เนื่องจากยาชนิดนี้ระงับอาการปวดได้น้อยกว่ามอร์ฟีน 5-20 เท่า จึงทำให้ยาชนิดนี้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ นอกจากนี้ tramadol ยังออกฤทธิ์ระงับปวดปลายประสาท โดยออกฤทธิ์ยับยั้งตัวเก็บกลับสารสื่อประสาท (transporter) ชนิดซีโรโธนิน(serotonin) และ นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) ที่บริเวณปลายประสาท ทำให้บริเวณปลายประสาทมีปริมาณสารสื่อประสาททั้งสองชนิดเพิ่มขึ้น จึงสามารถลดอาการปวดได้ ผลข้างเคียง พบได้ตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มือสั่น ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ มึนงง ง่วงซึม ประสาทหลอน จนถึงรุนแรงระดับนำไปสู่การเสียชีวิต เช่น ชักกดศูนย์การหายใจของร่ายกาย หรือซีโรโธนินซินโดรม (serotonin syndrome) ซึ่งจะมีอาการแสดงในหลายๆ ระบบของร่างกายพร้อมกัน เช่น กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกร่วมกับความดันโลหิตสูงและประสาทหลอน ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้ โดยไม่รักษาจะนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด การพยาบาล การพยาบาลและให้แนะนำ 1. ดูแลให้ยาตามคำสั่งจากแพทย์ เพราะยาชนิดนี้ถือเป็นยาอันตราย 2. ไม่ควรซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง 3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาทหรือสารเสพติดก่อนใช้ยาชั่วระยะหนึ่ง และห้ามรับประทานยาทรามาดอลพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 4. ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคลมชัก หรือมีประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือเคยมีอาการชักห้ามใช้ยาโดยเด็ดขาด 5. หากมีอาการแพ้ยาควรหยุดยา 6. ดูแลการการหยุดยา การหยุดยาทันทีอาจจะทำให้เกิดอาการขาดยา ได้แก่ อาการวิตกกังวล เหงื่อออก สั่น นอนไม่หลับ ปวดตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ในรายที่รุนแรงอาจจะมีอาการหูแว่วหรือเห็นภาพหลอน ดังนั้นจะต้องลดขนาดยาไม่หยุดยาทันที 7. แนะนำอาการของยาเกินขนาด อาการแสดงของการได้รับยาเกินขนาดได้แก่ หายใจช้า ง่วงซึมหากรุรแรงจะหมดสติถึงขั้นโคม่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง มือเย็นและเหงื่อออก ม่านตาเล็ก อาจจะมีอาการชัก หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ หัวใจอาจจะหยุดเต้น




1) 1-15/9/63 2) Tramadol (50) 1x2 O pc ประเภท ยาระงับปวด (Analgesic) รูปแบบ ยาเม็ด ขนาด 50 mg ขนาดและวิธีใช้ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด (50 mg) 2 เวลาหลังอาหาร เช้า-เย็น ข้อบ่งใช้ ยาบรรเทาอาการปวดออกฤทธิ์ที่ประสาทส่วนกลาง ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก การออกฤทธิ์ เป็นยาในกลุ่มโอพิออยด์ (opioids) ออกฤทธิ์เหมือนมอร์ฟีน ใช้ระงับอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงเช่นเดียวกับมอร์ฟีน (morphine) โดยออกฤทธิ์กระตุ้นที่มิว รีเซปเตอร์ แต่เนื่องจากยาชนิดนี้ระงับอาการปวดได้น้อยกว่ามอร์ฟีน 5-20 เท่า จึงทำให้ยาชนิดนี้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ นอกจากนี้ tramadol ยังออกฤทธิ์ระงับปวดปลายประสาท โดยออกฤทธิ์ยับยั้งตัวเก็บกลับสารสื่อประสาท (transporter) ชนิดซีโรโธนิน(serotonin) และ นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) ที่บริเวณปลายประสาท ทำให้บริเวณปลายประสาทมีปริมาณสารสื่อประสาททั้งสองชนิดเพิ่มขึ้น จึงสามารถลดอาการปวดได้ ผลข้างเคียง พบได้ตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มือสั่น ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ มึนงง ง่วงซึม ประสาทหลอน จนถึงรุนแรงระดับนำไปสู่การเสียชีวิต เช่น ชักกดศูนย์การหายใจของร่ายกาย หรือซีโรโธนินซินโดรม (serotonin syndrome) ซึ่งจะมีอาการแสดงในหลายๆ ระบบของร่างกายพร้อมกัน เช่น กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกร่วมกับความดันโลหิตสูงและประสาทหลอน ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้ โดยไม่รักษาจะนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด การพยาบาล การพยาบาลและให้แนะนำ 1. ดูแลให้ยาตามคำสั่งจากแพทย์ เพราะยาชนิดนี้ถือเป็นยาอันตราย 2. ไม่ควรซื้อยารับประทานเองและไม่ใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้รับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง 3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาทหรือสารเสพติดก่อนใช้ยาชั่วระยะหนึ่ง และห้ามรับประทานยาทรามาดอลพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 4. ผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคลมชัก หรือมีประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือเคยมีอาการชักห้ามใช้ยาโดยเด็ดขาด 5. หากมีอาการแพ้ยาควรหยุดยา 6. ดูแลการการหยุดยา การหยุดยาทันทีอาจจะทำให้เกิดอาการขาดยา ได้แก่ อาการวิตกกังวล เหงื่อออก สั่น นอนไม่หลับ ปวดตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ในรายที่รุนแรงอาจจะมีอาการหูแว่วหรือเห็นภาพหลอน ดังนั้นจะต้องลดขนาดยาไม่หยุดยาทันที 7. แนะนำอาการของยาเกินขนาด อาการแสดงของการได้รับยาเกินขนาดได้แก่ หายใจช้า ง่วงซึมหากรุรแรงจะหมดสติถึงขั้นโคม่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง มือเย็นและเหงื่อออก ม่านตาเล็ก อาจจะมีอาการชัก หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ หัวใจอาจจะหยุดเต้น



Neurotin

ประเภท ยาระงับการชัก

ข้อบ่งใช้ เป็นยาเสริมกับยาต้านโรคลมชักมาตรฐานในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคลมชักชนิด Partial seizure และGeneralized tonic-clonic seizure ชนิดเพิ่มฤทธิ์ของทั้งเอนไซม์ Glutamate dehydrogenase และ Glutamic acid decarboxylase

การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์ผ่าน receptor ชนิดใหม่มีชื่อว่ Cabapentin receptor ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มฤทธิ์ของเอนไซม์ Glutamate dehydrogenase (GDH), Glutamic acid decarboxylase (GAD), alanine aminotransferase, Aspartate aminotransferase, Branched-chain amino acid aminotransferase (BCAT), Gramma-glytamyI transferase และ GABA transferase (GABA-T) ซึ่งจะมีผลทำให้ GABA ในสมองเพิ่มสูงขึ้น

ผลข้างเคียง ง่วงนอน น้ำหนักตัวเพิ่ม เดินเซ ขาดสมาธิ วิงเวียน ไม่มีแรง และปวดศีรษะ

การพยาบาล

1. แนะนำผู้ป่วยว่าอย่าหยุดยากะทันหัน เนื่องจากการหยุดยาทันทีอาจจะกระตุ้นให้เกิด อาการชัก 2. สังเกตอาการข้างเคียง หากพบรายงานแพทย์ทราบ 3 แนะนำให้ผู้ปวยระวังอุบัติเหตุ เพราะยาอาจทำให้ง่วง


Omeprazole

ประเภท าลดกรดชนิด Proton pump inhibitor

ข้อบ่งใช้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร รักษาแผลในลำไส้เล็กส่วนตัน แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารอักเสบ รักษาภาวะการหลั่งกรดมากเกิน และ Zollinger-Ellison syndrome

การออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ H, K+ ATPase ซึ่งทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนไฮโดรเจนอิออนออกจากเซลล์ Parital ของกระเพาะอาหาร จึงยับยั้งการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหารที่ ขั้นตอนสุดท้าย จึงหยุดได้ทั้งกรดที่หลั่งเองตามปกติและกรณีที่เกิดจากการกระตุ้นต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์

ผลข้างเคียง พบน้อย อาจพบอการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มีผื่นขึ้น ลมพิษ อาการคัน ไอมีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ มึนงง ปวดหลัง ท้องเดิน ท้องผูก ท้องอึด ง่วงนอน นอนไม่หลับ สูญเสียกรทรงตัว เอนไซม์ในตับเพิ่มขึ้น รู้สึกไม่สบายตัว อาจมีอาการไวต่อแสง ผิวหนังร้อนแดง ศีรษะล้าน ปวดตามข้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปากแห้ง ตับอักเสบ

การพยาบาล ให้การดูแลและให้คำแนะนำผู้ป่วยดังนี้

1. ให้ยาก่อนอาหาร ในตอนเช้า 2 ยาลดกรดอาจให้สำหรับแก้ปวดท้อง สามารถให้พร้อมกับ Omeprazole หากลืมรับประทานยให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ไม่ควรรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท 4. ให้กลืนยาทั้งแคปซูล ไม่แกะแคปซูลหรือเคี้ยว 5 หกมีอคารผิดปกติ เช่น ปัสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บคอ และมีไข้ อ่อนเพลีย มาก ให้รายงานแพทย์ทราบ


Ceftriaxone 

ประเภท ยากลุ่ม Cephalosporins เป็น third generation

ข้อบ่งใช้ รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ผิวหนัง Phayngeal gonorrhea การติดเชื้อ แบคทีเรียในกระแสเลือด กระดูก ซ้อ ช่องท้อง ยื่อหุ้มสมอง หูชั้นกลางในเด็ก

การออกฤทธิ์ ยับยั้งการสร้างผนังเชลล์ของแบคทีเรีย จะฆ่เชื้อแบคที่เรียชนิดแกรมบวก ใช้ได้ผลดีต่อเชื่อ S, aureus ทั้ง Penicillin-sensitive และ Resistant strains แต่มีผลน้อยต่อ Methicilin และ Oxacillin-resistant strains ให้ผลดีต่อพวก Streptococci รวมทั้ง S. pneumoniae ไม่มีผลต่อ S. faecalis แบคที่เรียชนิดแกรมลบ ใช้ได้ผลดีต่อเชื้อ E. coli, Klebsiella sp. H. influenzae, แต่มีผลน้อยต่อ Ps. Aeruginosa และให้ผลดีต่อ Anaerobes ให้ผล ปานกลางหรือเล็กน้อยต่อเชื้อส่วนใหญ่ รวมทั้ง Bacteroides fragilis

ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องอึด กดการสร้างไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และ Hc ต่ำ แพ้ยา เช่น ฝิ่นคัน มีไช้ ปวดบริเวณที่ฉีด เป็นดัน

การพยาบาล

1. หากฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ขนาด 025 กรัม หรือ 0.5 กรัม ละลายใน 2 มิลลิลิตร หรือ ขนาดยา 1 กรัม ใน 35 มิลลิลิตร ของ 1.0% Lidocaine hydrochloride solution ควร ฉีดลึกๆ และในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ หกต้องฉีดยาขนาด 2 กรัมขึ้นไป ให้แบ่งฉีดที่ กล้ามเนื้อคนละมัด นวดให้ยากระจายเพื่อช่วยให้การดูดซึมดีขึ้น 2. หากฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ละลายยา 025 หรือ 05 กรัม ในน้ำกลั่น 5 มิลลิลิตร หรือ 1 กรัมใน 10 มิลลิลิตร ของน้ำกลั้นฉีดเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ ใน 2-4 นาที หรือให้ทาง Intravenoussolution ผสมยา 2 กรัมใน 40 มิลลิลิตร ของ 0.9% NaCl injectionหรือ 5% dextrose injecton ให้ Infusion ภายใน 5-15 นาที



Naproxen

ประเภท ยากลุ่ม NSAIDs

ข้อบ่งใช้ บรรเทาอการเจ็บปวด หรือการอักเสบตั้งแต่ระดับน้อยๆ ไปจนถึงปานกลาง มักใช้รักษาอาการปวดศีษะ ปวดกล้ามนื้อ ปวดฟัน หรือปวดหลังผ่ตัด คลอดบุตร ปวดประจำเดือนปวดกระดูก สามารถรักษอาการปวดข้อระยะยาว เช่น Rheumatoid arthritis, Osteoar.thritis ขออักเสบ Ankylosing, Spondylitis และ Gout เป็นต้น

การออกฤทธิ์ ยับยั้งการสังเคราะห้ Prostaglandins ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบ มีไข้ และอาการปวด

ผลข้างเคียง ทำให้เกิดแผลที่เยื่อบุกระพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องอึด ร้อนในทรวงอก แน่นบริเวณ กะบังลม คลื่นไส้ อเจียน ปวดท้อง มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ปวดศีรษะ มึนซึม วิงเวียน เลือดออกง่าย มีอาการทางไต อาจมีเสียงผิดปกติในหู

การพยาบาล

1. ให้ผู้ป่วยรับประทานยาร่วมกับอาหารและนม เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เยื่อบุ กระเพาะอาหาร
2 ผู้ป่วยที่ต้องระวังเป็นพิเศษเมื่อได้รับยา Naproxen เนื่องจากจะเสี่ยงต่อการเกิดหลอดลมกร็งตัว ได้แก่ ผู้บ้วยที่มีความไวต่อแอสไพริน แพ้อากาศ มีก้อนยื่นในจมูก และเป็นหืด 3. ยาจะบดบังอาการติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน จึงต้องติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของ CBC จำนวนเกล็ดเลือด PT หน้าที่ของตับและไต เป็นระยะๆและไม่ควรให้ร่วมกับยาลดกรดเพราะทำให้การดูดซึมของยาลดลง



Mydocalm
ประเภท ยาคลายกล้ามเนื้อ
ข้อบ่งใช้ รักษาผู้ป้วยที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ
การออกฤทธิ์ ต้าน Cholinergic
ผลข้างเคียง ง่วงซึม เวียนศีรษะ ไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เบื่ออาหาร ผื่น ผิวหนังแดง อ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นช้า เป็นลม ชัก
การพยาบาล
1. ให้ผู้ป่วยนอนพักอย่งน้อย 15 นาที หลังฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ คอยตรวจสอบอัตรา หยดของยาและวัดสัญญาณชีพบ่อยๆ 2. แนะนำให้ผู้ป้วยเปลี่ยนทำช้าๆ หลังให้ยาระวังยารั่วออกนอกเส้นเลือดดำ เพราะจะทำให้หลอดเลือดดำอักเสบและเชลล์ตาย



Calcium carbonate

ประเภท แคลเซียมป็นอิเล็กโตรไลท์หรือธาตุที่มีอยู่มากเป็นอันดับ 5 ในร่งกาย โดยมากคว่ร้อยละ
90 สะสมอยู่ในกระดูก
แหล่งที่มา น้ำนม ถั่ว ผักใบเขียว ไข่ และปลาที่มีกระดูกอ่อนรับประทานได้
คุณประโยชน์
1. เป็นโครงสร้างของกระดูกและฟัน 2. มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและกลัมเนื้อ โดยกระตุ้นการหลั่งของสาร สื่อประสาท แคลเชียมมีความจำเป็นต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อทั่วไปและกล้ามเนื้อหัวใจ 3. ช่วยในการแข็งตัวของเลือด 4. มีความจำเป็นในการเจริญเติบโต และสร้างเม็ดเลือด

ข้อบ่งใช้
1. สำหรับผู้ที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ
2. มีการเกร็งของกล้ามเนื้อ (Tetany) 3.ป้องกันกระดูกพรุน (Osteoporosis)
ผลข้างเคียง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
การพยาบาล
1. บันทึกสัญญาณชีพ เมื่อพบสิ่งผิดปกติ รายงานแพทย์ทราบ หากผู้ป่วยได้รับยา Digoxin ต้องจับชีพจร หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจช้าแสดงถึงอาการแสดงของพิษจาก Digitalis 2 ให้ความระมัดระวังสำหรับผู้ป่วยโรคไต มีนิ่วในทางเดินปัสสาวะ 3. ไม่ให้รับประทานพร้อมยา Tetracycline หรือ ฟลูออไรด์ เพราะจะทำให้การดูดซึมลดลง 4. ตรวจระดับแคลเชียมในเลือดและปัสสาวะก่อนให้แคลเชียมโดยวิธีฉีด และไม่ควรฉีด เกิน 1 มิลลิลิตร/นาที 5. ติดตามผล EKG ถ้ามีภาวะ Hypocalcemia จะพบ ST segment ยกสูงขึ้น และ QT interval ยาว หรือถ้ามีภาวะ Hypercalcemia จะพบ ST segment ต่ำลง และ QT interval สั้น 6. ให้คำแนะนำผู้ป่วย ดังนี้ 6.1 หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบาย หรือภาวะท้องผูก เพราะจะลดการดูดซึมแคลเชียมใน ทางเดินอาหาร 6.2 รับประทานแคลเซียมพร้อมอาหารหรือหลังอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม 6.3 รับประทานอหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ผลิตภัณฑ์จกนม อาหารที่มีโปรตีน สูง เป็นตัน