Omeprazole
ประเภท ยาลดกรดชนิด Proton pump inhibitor
ข้อบ่งใช้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร รักษาแผลในลำไส้เล็กส่วนตัน แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารอักเสบ รักษาภาวะการหลั่งกรดมากเกิน และ Zollinger-Ellison syndrome
การออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ H, K+ ATPase ซึ่งทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนไฮโดรเจนอิออนออกจากเซลล์ Parital ของกระเพาะอาหาร จึงยับยั้งการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหารที่
ขั้นตอนสุดท้าย จึงหยุดได้ทั้งกรดที่หลั่งเองตามปกติและกรณีที่เกิดจากการกระตุ้นต่างๆ
ได้อย่างสมบูรณ์
ผลข้างเคียง พบน้อย อาจพบอการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มีผื่นขึ้น ลมพิษ อาการคัน ไอมีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ มึนงง ปวดหลัง ท้องเดิน ท้องผูก ท้องอึด ง่วงนอน นอนไม่หลับ สูญเสียกรทรงตัว เอนไซม์ในตับเพิ่มขึ้น รู้สึกไม่สบายตัว อาจมีอาการไวต่อแสง ผิวหนังร้อนแดง ศีรษะล้าน ปวดตามข้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปากแห้ง ตับอักเสบ
การพยาบาล ให้การดูแลและให้คำแนะนำผู้ป่วยดังนี้
1. ให้ยาก่อนอาหาร ในตอนเช้า
2 ยาลดกรดอาจให้สำหรับแก้ปวดท้อง สามารถให้พร้อมกับ Omeprazole
หากลืมรับประทานยให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ไม่ควรรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท
4. ให้กลืนยาทั้งแคปซูล ไม่แกะแคปซูลหรือเคี้ยว
5 หกมีอคารผิดปกติ เช่น ปัสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บคอ และมีไข้ อ่อนเพลีย
มาก ให้รายงานแพทย์ทราบ
Ceftriaxone
ประเภท ยากลุ่ม Cephalosporins เป็น third generation
ข้อบ่งใช้ รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ผิวหนัง Phayngeal gonorrhea การติดเชื้อ
แบคทีเรียในกระแสเลือด กระดูก ซ้อ ช่องท้อง ยื่อหุ้มสมอง หูชั้นกลางในเด็ก
การออกฤทธิ์ ยับยั้งการสร้างผนังเชลล์ของแบคทีเรีย จะฆ่เชื้อแบคที่เรียชนิดแกรมบวก ใช้ได้ผลดีต่อเชื่อ S, aureus ทั้ง Penicillin-sensitive และ Resistant strains แต่มีผลน้อยต่อ Methicilin
และ Oxacillin-resistant strains ให้ผลดีต่อพวก Streptococci รวมทั้ง S. pneumoniae
ไม่มีผลต่อ S. faecalis แบคที่เรียชนิดแกรมลบ ใช้ได้ผลดีต่อเชื้อ E. coli, Klebsiella sp.
H. influenzae, แต่มีผลน้อยต่อ Ps. Aeruginosa และให้ผลดีต่อ Anaerobes ให้ผล
ปานกลางหรือเล็กน้อยต่อเชื้อส่วนใหญ่ รวมทั้ง Bacteroides fragilis
ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องอึด กดการสร้างไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และ Hc ต่ำ แพ้ยา เช่น ฝิ่นคัน มีไช้ ปวดบริเวณที่ฉีด เป็นดัน
การพยาบาล
1. หากฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ขนาด 025 กรัม หรือ 0.5 กรัม ละลายใน 2 มิลลิลิตร หรือ
ขนาดยา 1 กรัม ใน 35 มิลลิลิตร ของ 1.0% Lidocaine hydrochloride solution ควร
ฉีดลึกๆ และในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ หกต้องฉีดยาขนาด 2 กรัมขึ้นไป ให้แบ่งฉีดที่
กล้ามเนื้อคนละมัด นวดให้ยากระจายเพื่อช่วยให้การดูดซึมดีขึ้น
2. หากฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ละลายยา 025 หรือ 05 กรัม ในน้ำกลั่น 5 มิลลิลิตร
หรือ 1 กรัมใน 10 มิลลิลิตร ของน้ำกลั้นฉีดเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ ใน 2-4 นาที หรือให้ทาง
Intravenoussolution ผสมยา 2 กรัมใน 40 มิลลิลิตร ของ 0.9% NaCl injectionหรือ 5% dextrose injecton ให้ Infusion ภายใน 5-15 นาที
Aspirin หรือ Acetylsalicylic acid (ASA)
ประเภท ยาระงับปวด ลดไข้ ชนิดไม่เสพติด aspirinเป็นยาหลักของยาในกลุ่มยาระงับปวด ลดไข้ (Analgesics/antipyretics) ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่ยาสเตีรอยด์
รูปแบบ ยาเม็ด 60gm, 81mg, 300mg, 325mg
ขนาดและวิธีใช้
1. ใช้แก้ปวดลดไข้ ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2 เม็ด (ขนาด 300 mgหรือ 325 mg) รับประทานเวลามีีอาการและให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง
2. ใช้แก้ปวด ผู้ใหญ่และผู้มีอายุมากกว่า 10 ปี ครั้งละ 2 เม็ด (ขนาด 300 mgหรือ 325 mg) และให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง
3. ใช้แก้ข้ออักเสบ ผู้ใหญ่ครั้งละ 3-5 เม็ด (ขนาด 300 mgหรือ 325 mg) วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนอาหาร
4. ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลลือดและหัวใจ ผู้ใหญ่ให้ครั้งละ 75 - 325 mg วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้าเป็นประจพทุกวัน (ในกรณีที่ไม่มีaspirinขนาด 75 mg ให้ใช้aspirinขนาด 81 mg 1 เม็ดหรือขนาด 60 mg 11/2 - 2 เม็ดแทนได้
ข้อบ่งใช้ เป็นอนุพันธ์ของกรด Salicylic ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาถูก มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงหากใช้ถูกวิธี มีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
1.ลดไข้
2. บรรเทาอาการปวดทุกชนิด เช่น ปวดหู ปวดตา ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ปวดประจำเดือน ปวดแผล (ยกเว้นปวดท้องโรคกระเพาะห้ามใช้)
3. ลดการอักเสบ เช่น ข้ออักเสบ ในโรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบรูมาตอยด์
4. ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วคราว หรือ Transient ischemic attacks (TIA)
การออกฤทธิ์
1. การยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดไข้ คือ Prostaglandins ที่ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่อัยโปธาลามัส กระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว และทำให้นย์ควบคุมอุณหภูมิอยู่ในระดับปกติ จึงนิยมใช้ลดอุณหภูมิในร่างกายที่มีสารทำให้เกิดไข้
2. ยับยั้งการสร้างสาร Prostaglandins ที่ทำให้เกินความเจ็บปวด ทำให้ตัวรับความรู้สึกไม่ไวต่อการกระตุ้น จึงได้ผลดีต่อการระงับปวดชนิดตื้นๆ หรือปวดตุ้บๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการอักเสบ ในกรณีที่เป็นความเจ็บปวดจากการกระตุ้นที่ปลายประสาทรับความรู้สึกโดยตรงจะได้ผลน้อย เช่น ในรายที่ปวดลักษณะเหมือนของแหลมคม และทิ่มแทง เป็นต้น
การให้aspirinไม่สามารถระงับความเจ็บปวดที่เกิดจากการให้ Prostaglandins ที่ตำแหน่งนั้นโดยตรง และยังสามารถการอักเสบ โดยการยับยั้งการสร้างสาร Prostaglandins ผ่านการลดการสร้างเอนไซม์ cycloxygenase ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นการเจ็บปวด และกระบวนการอักเสบ โดยออกฤทธิ์ต่อตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด ทั้งส่วนกลางและส่วนปลาย
ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง
1. มีอาการแพ้โดยมีผื่นคัน ผื่นแดง ลมพิษ ผิวหนังลอก มีอาการบวม อาจจะเกิดอาการพิษตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงรุนแรง หากแพ้มากๆอาจเป็นหอบหรือชัก ถ้าพบอาการดังกล่าวให้หยุดยาชนิดนี้อย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้แพ้อีก
2. อาจจะมีอาการระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้อง มีอาการอาเจียนบางรายอาจมีอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร จะไม่ควรใช้ในขณะท้องว่างหรือมีประวัติเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
3. หากใช้ยาขนาดมากเกินไป จะทำให้มีอาการมึมงง ใจสั่น หูอื้อ หากรุนแรงอาจชัก ซึมจนไม่รู้สึกตัว ในเด็กอาจตายได้ เรียกว่า (Salicylate poisoning)
4. ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติซีดเหลืองบ่อยจากโรคโลหิตจางเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกเพราะจะทำให้เกิดอาการซีดเหลืองมากขึ้น
5. ทำให้เลือดออกง่าย เพราะยานี้ทำให้การเกาะตัวของเกล็ดเลือดลดลง (Platelets aggregation) จึงห้ามใช้ในผู้ป่วยที่สงสัยจะมีเลือดออก เช่น ไข้เลือดออกและโรคเลือดต่างๆ
6. ไม่ควรใช้ในเด็กต่ำกว่า 1 ขวบ และไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า19 ปี ที่เป็นไข้หวัดหรืออีสุกอีใส ทำให้เกิด Reye's Syndrome ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงถึงตายได้
7. ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด อาจทำให้ตกเลือดได้ง่าย และทำให้ทารกผิดปกติ และไม่ใช้ในหญิงให้นมบุตร เนื่องจากยานี้ขับออกมากับนม
8. หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเกาต์ เนื่องจากอาจทำให้กรดยูริคในเลือดสูงและโรคเกาต์กำเริบได้
9. หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาต้านอัดเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และแอลกอฮอล์เพราะอาจเสริมฤทธิ์ในการระคายเคืองต่อกระเพาพอาหารมากขึ้น
10. ยานี้อาจเสริมฤทธิ์ยาเม็ดรักษาเบาหวานและสารกันเลือดเป็นลิ่ม ทำให้สารเหล่านี้ออกฤทธิ์แรงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เกิดภาวะน้ำตาลใรเลือดต่ำ ภาวะเลือดออก เป็นต้น
การพยาบาล
1. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แผลในทางเดินอาหาร ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้ในเด็กเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นที่มีอาการไข้เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น อีสุกอิใส ไข้เลือดออก เป็นต้น ห้ามใช้ในผู้ป่วยฮีโมฟิเลีย ผู้กำลังได้รับยาห้ามการแข็งตัวของเลือด
2. ระวังการใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตยมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพราะจะมีผลรบกวนระยะการคลอด ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแผลในทางเดินอาหาร โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคเลือด และโรคหืด
3. รับประทานยาหลังอาการทันที หรือหลังรับประทานอาหารใหดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อลดความเข้มข้นของกรดในยาให้เจือจางลง ป้องกันยาระคายเคืองกระเพาะอาหาร ห้ามรับทานพร้อมกับนม หรือยาลดกรด ควรเว้น 2 ชั่วโมง
4. ให้ดื่มน้ำ เครื่องดื่ม หรือรับประทานอาหารอาหารเหลวบ่อยๆ เพื่อช่วยลดความร้อน ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดหลังรับประทานยา
5. ควรหยุดยา aspirin ในผู้ป่วยก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดแน่นท้อง อุจจาระมีสีดำ มีจ้ำเลือด หรือจุดเลือดตามตัว
6. ไม่ซื้อยารับประทานเองและใช้ยาเป็นเวลานาน เพราะอาจรับประทานยาเกินขนาด เกิดพิษและอาการข้างเคียง
7. สังเกตพิษและผลข้างเคียง เชาน หูอื้อ เวียนศรีษะ จุดจ้ำเลือด ผื่นคัน เป็นต้น
8. หากผู้ป่วยรับประทานยาเกิดขนาด ให้การช่วยเหลือโดยหยุดใช้ยา เตรียม Salicylate ในเลือด กระตุ้นให้อาเจียนหรือล้างท้อง และให้ยาแก้ฤทธิ์ เช่น Activated chacoal เป็นต้น เตรียมสารน้ำให้ทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้ไตทำงานปกติ โดยใช้5%D/W อาจให้โซเดียมไบคาร์บอเนตเพื่อเพิ่มpH เร่งการขับถ่ายยา หากอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาทำDialysis ชนิดแลกเปลี่ยนพิษยาทางหน้าท้อง(Peritoneal dialysis)หรือทางเลือด(Hemodialysis)
Valium
ประเภท ยาพวก Benzodiazepine เป็นกลุ่ม Tranquilizer
ข้อบ่งใช้ ลดความวิตกกังวล ระงับอาการชัก และสงบประสาท
การออกฤทธิ์ กดประสาทส่วนกลาง ยับยั้งการสงกระแสประสาทเสริมฤทธิ์ Gamma aminobutyric acid GABA) ทำให้การยับยั้งและอุดกั้นการตื่นตัวของกระแสประสาท ทั้งส่วน Limbic และSubcotical จึงทำให้สมองส่วนรับความรู้สึถูกกด การเคลื่อนไหวจึงช้าลง การทำหน้าที่ของสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดอการซึม มึนงง ง่วงหลับ
ผลข้างเคียง ไม่รุนแรง ที่พบบ่อย ได้แก่ มีอคารคลื่นไส้อาเจียน ง่วงนอน ตื่นเต้นผิดปกติ นอนไม่หลับอ่อนล้า และกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจกดการหายใจ เมื่อให้ยาในขนาดสูงๆ หรือใช้ยานี้ในระยะยาวๆ อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เช่น ตามัว เห็นภาพช้อน ปวดศีรษะ ปัสสาวะกะปริดกะปรอย พูดไม่ชัด มือสั่น ผื่นขึ้น
การพยาบาล
1. ดูแลผู้ป้วยอย่างใกล้ชิด เช่น อาการจากการหายใจถูกกด เป็นต้น
2 ไม่ควรใช้ยานี้เอง หรือรับประทานยานี้นานๆ หรือหยุดยาเองในทันที เพราะอาจติดยาและเกิดผลเสียได้
3. สังเกตอาการข้างเคียง เช่น เหนื่อยล้า สับสน น้ำหนักเปลี่ยน ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ตัวตาเหลือง ผื่นขึ้น ซึมเศร้า เป็นตัน ให้รายงานแพทย์ทราบ
4. หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และยาที่กดประสาท เช่น Narcotics, Sedative, Tranquilizers ยานอนหลับ ยารักษาอาการแพ้หรือแก้หวัด เป็นต้น
5. หากมีอาการผิดปกติของ Agranulocytosis เช่น มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ไอ ปวดหลัง
เป็นต้น ให้รายงานแพทย์ทราบ
6. ยานี้อาจเป็นสาเหตุทำให้มึนงง ตาพร่ามัว ห้ามขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือ
ใช้ของมีคบ
7. ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวช้าจากท่านอนเป็นนั่ง หรือยืน หากมีอาการวิงเวียน
8. ปากแห้ง หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานยำทันทีที่นึกได้ แต่ไม่เพิ่มยาเป็น 2 เท่า
ในครั้งนั้น
Folic acid
แหล่งที่มา กรดโฟลิก อาจใช้โฟเลทซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติทางชีวเคมีเหมือนกรดโฟลิก อาหารที่มีโฟเลตมาก ได้แก่ ยีสต์ ตับ ถั่ว และผักใบเขียว
ประโยนช์ กรดโฟลิกถูกเปลี่ยนที่ตับเป็น Folinic acid ซึ่งเป็น Active form มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ
สั่งเคราะห์ DNA RA และ กรดอะมิโนบางตัว และเกี่ยวกับการสร้างเม็ดเลือด
ข้อบ่งใช้ สำหรับโรคโลหิตจางชนิด Megaloblastic, ผู้สูงอายุ ผู้ปวยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ผู้ที่ได้
otrexate, Pyrimethamine, Triamterene, Trimethoprim ยากันชัก และยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานๆ
อาการการขาด มีอาการปากเปื่อย ลิ้นอักเสบ ท้องเดิน น้ำหนักตัวลดลง มีอาการทางระบบประสาทโรค megalobblastic anemia
การพยาบาล ระวังการใช้ร่วมกัยกันชัก พราะกรดโฟลิกลดฤทธิ์ยากันซัก DiphenyIhydantoin และเก็บยาให้พ้นแสงอาจใส่ชองหรือขวดสีชา ห้ามรับประทานพร้อมนมหรือยาลดกรด ควรเว้น 2 ชั่วโมง
Nicardipine
ประเภท Calcium antagonists
ข้อบ่งใช้ รักษาความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง เป็นยารักษา Angina pectoris ภาวะหัวใจวาย และ
หลอดเลือดสมองผิดปกติ
การออกฤทธิ์ ยาจะยับยั้งช่องทางแคลเชียมที่จะเข้าไปในกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดมีผลให้การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเพียงพอและความดันโลหิตลดลง
ผลข้างเคียง มีอาการบวม หน้าแดง ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ EKG ผิดปกติ มึนศีรษะ ปวดศีรษะ เป็นลมลม อ่อนเพลีย กังวล สับสน คลื่นไส้ อาเจียน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เจ็บคอ มีผื่นคันตามตัว ตามัว หายใจหอบ ปัสสาวะบ่อย
การพยาบาล ให้คำแนะนำผู้ป้วย ดังนี้
1. ให้กลิ่นยาทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยว หรือบดเม็ดยาให้แตก
2. ให้เคลื่อนไหวช้าๆจากทำนั่งเป็นยืน นั่งเป็นนอน หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด น้ำฝักบัวการขับรถ หรือใช้ของมีคม เนื่องจากผู้ป้วยจะมีอาการหน้ามืด ตาลาย เป็นลม จากOrthostatic hypotension
3. ให้สังเกตและบันทึกสัญญาณชีพ และน้ำหนักที่บ้าน
4. ให้รับประทานยตามแพทย์สั่ง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะยาบางตัวอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ เช่น ยากดประสาทส่วนกลาง ยารักษาหวัด หอบหืด ยาลดน้ำหนัก ยาขับปัสสาวะ เป็นตัน ทำให้ยามาเสริมฤทธิ์กัน
5. ลดน้ำหนัก ลดอาหารเค็ม เลิกสูบบุหรี่ กาแฟ ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เพื่อให้การรักษาดีขึ้น
6. หากลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ต้องห่างกับมื้อต่อไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อย่ารับประทานยาเป็น 2 เท่า
atorvastatin
ประเภท ยาลดไขมัน (Lipid-lowering agent ชนิด HMG-COA reductase inhibitor)
ข้อบ่งใช้ ลดระดับ LDL-C และ TC ในผู้ป่วย Hypercholesterolemia เช่นเดียวกับยาในกลุ่ม Statins ชนิดอื่น และสามารถลดระดับไตรกลีเชอไรด์ ได้ปานกลางในผู้ป่วย Hypertriglyceridemia ใช้กรณีที่ใช้ Simvastatin แล้วไม่ได้ผล
การออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme-A (HMG-COA) reductase ในการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล
ผลข้างเคียง มีไข้ เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก อุจจาระอัดแน่น ท้องอึด และปวดกล้ามเนื้อ มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้น
การพยาบาล ให้คำแนะนำผู้ป่วย ดังนี้
1. ให้รับประทานยาก่อนอาหาร โดยผสมยานี้กับน้ำสะอาดประมาณแก้ว หรือผสมกับน้ำผลไม้ก็ได้
2 ให้จำกัดอาหารประเภทไขมัน ออกกำลังกายและงดสูบบุหรี่
3. ให้ระวังอาการท้องผูก หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบรายงานให้แพทย์ทราบ เพื่อพิจารณา
ให้วิตามินเค
4. ให้ตรวจระดับ CPK เป็นระยะๆ ระหว่างการใช้ยา และควรระวังในกรณีที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอ่อนเพลียและมีไข้ร่วมด้วย และควรหยุดยาชั่วคราวหรือเลิกใช้ยา หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ร่วมกับมีระดับ CPK มากกว่า 10 เท่าของคำสูงสุดของค่าปกติ
Dilantin
ประเภท ยากลุ่ม Hydantoins
ข้อบ่งใช้ รักษาลมชักได้ทุกชนิด ยกเว้นชนิด Petit mal
การออกฤทธิ์ ลดการซึมเข้าของ Na+ และ Ca+ และการซึมออกของ K+ ผ่านเยื่อหุ้มเชลล์
ผลข้างเคียง ตากระตุก เดินเช มึนงง สับสน ตาพร่า นอนไม่หลับ มือสั่น หงุดหงิด ปวดศีรษะประสาทหลอน คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย เหงือกบวมในเด็ก เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดทุกชนิดต่ำ มีไข้ น้ำตาลในเลือดสูง ไขกระดูกเสื่อม มีผื่นตามผิวหนัง ขนขึ้นมาก
การพยาบาล ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วย ดังนี้
1. ให้ผู้ป่วยระวังอุบัติเหตุจากอาการง่วงนอน มึนซึม
2 ให้ผู้ป่วยงดดื่มสุราและยาต่างๆ ที่มีปฏิกิริยต่อกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาตัวอื่น
3. ให้ผู้ป่วยตรวจฟันและเหงือก เนื่องจากยาอาจมีผลทำให้เหงือกบวม
4. แนะนำผู้ป่วยว่าไม่ต้องตกใจ เพราะยาทำให้สีปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดงคล้ำ ห้ามรับประทานยาพร้อมกับยาลดกรด หรือรับประทานในเวลาใกล้กับยาลดกรดภายใน2-3 ชั่วโมง
5. ให้ผู้ป้วยรับประทานยพร้อมอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
6. ระวังการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ในผู้ป่วยเบาหวาน
Plasil
ประเภท ยาระงับอาการคลื่นไส้ อาเจียนที่นิยมใช้มากเพราะได้ผลดี และมีฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตราย
ข้อบ่งใช้ ป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดและหลังผ่าตัด
การออกฤทธิ์ จับกับ Chemoreceptor trigger zone (CT2) และออกฤทธิ์ต้านการหลั่ง Dopamine ซึ่งเป็นสารสื่อสัญญาณประสาทที่สำคัญของ CTZ ทำให้ Thredshold ของ CTZ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังลดสัญญาณประสาทของระบบทางเดินอาหารไปยังศูนย์อาเจียน และเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดในหลอดอาหาร ทำให้อาการคลื่นไส้ อาเจียนลดลง
ผลข้างเคียง ง่วงนอน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วคลื่นไส้ ท้องผูกหรือท้องเสีย ปากแห้ง มีผื่นขึ้นตามร่างกาย อาการบวม เต้านมโตในผู้ชายและหมด
สมรรถภาพทางเพศ ในผู้หญิงมีน้ำนมไหลและขาดประจำเดือน
การพยาบาล ให้การดูแลและแนะนำผู้ป่วย ดังนี้
1. ให้หลีกเลี่ยงการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและการขับรถขณะรับประทานยา
2. หากต้องการป้องกันอาการอาเจียนขณะรับประทานอาหาร ต้องให้รับประทานอาหารประมาณ 30 นาที
3. ควรเก็บยาไว้ในขวดสีชา เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแสง สำหรับยาฉีดหากใช้ไม่หมดให้ทิ้งไปห้ามเก็บไว้ใช้อีก เพราะยาเสื่อมสภาพเมื่อถูกแสง
4. สังเกตอาการแพ้ยาและอาการเปลี่ยแปลงที่เกี่ยวกับการกดสมองของยา ในคนอายุน้อย เด็ก หรือผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดสูงๆ ต้องสังเกตอาการที่เรียกว่า Extrapyramidal symptoms ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของประสาทควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีการสั่น กล้ามเนื้อเกร็ง การเคลื่อนไหวลำบาก ตาเหลือก ลูกตาวิ่งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองเมื่อหยุดยา
5. สังเกตภาวะโชเดียมในเลือดสูงและโปแตสเชียมในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วย โรคหัวใจ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
6. อาการต่างๆ ซึ่งเกิดจากระดับโปรแลคติน เพิ่มขึ้นในเลือด เช่น เต้านมโต มีน้ำนมไหล เป็นตัน โดยปกติจะหายไปภายในเวลา 2-3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนหลังหยุดยา ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ
7. ดูแลความสะอาดปาก ฟัน หากมีอาการปากคอแห้ง ให้ดื่มน้ำมากขึ้น
Ampicillin
ประเภท ยาปฏิชีวนะ กลุ่มเพนิชิลลิน
ข้อบ่งใช้ ขจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ติดเชื้อในหู ทางเดินปัสสาวะ และผิวหนัง เป็นตัน
การออกฤทธิ์ เป็นยาที่มีขอบเขดการออกฤทธิ์กว้างกว่ายาชนิดอื่นในกลุ่มเดียวกัน Ampicillin เป็นสารกึ่งสังเคราะห์จากเพนิชิลลิน ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรียเหมือน Penicillin G ใช้ต่อตันเชื้อแบคที่เรียทั้ง gram+ve และ gram-ve
ผลข้างเคียง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นแดงตามตัวซึ่งไม่ใช่เกิดจากการแพ้ยา
การพยาบาล
1. ชักประวัติเกี่ยวกับการแพ้เพนิชิลลิน หากมีประวัติการแพ้ยาเพนิชิลลิน ห้ามใช้ยานี้
2. ส่ง Specimens เพื่อตรวจหาเชื้อก่อนให้ยา Doรe แรก
3. สังเกตอาการแพ้ชนิด Anaphylaxis ช่น หายใจลำบาก บวม หัวใจเต้นเร็ว มีผื่นคัน เป็นต้น และเตรียมยา (Adrenaline, Antihistamines) และอุปกรณ์ (Intubation) เพื่อให้การช่วยเหลือ
4. หากเป็นยารับประทานให้ดื่มน้ำตาม1แก้วให้ขณะท้องว่าง 1 ชั่วโมงก่อนหรือหลัง
อาหาร แนะนำผู้ป้วยให้รับประทานยาให้ครบ Doรe ตามแผนการรักษา
5. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาโดยแบ่งมาจากผู้อื่น